ถือว่ายังคงร้อนแรงต่อเนื่องสำหรับฟอร์มการเล่นของ “เดอะ แร็บบิท” บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ทีมน้องใหม่แห่งไทยลีก ที่นำทัพโดยโค้ชโอ่ง ดุสิต เฉลิมแสน ที่สลัดคราบน้องใหม่ที่พึ่งเลื่อนชั้นกลายมาเป็นผู้นำฝูงอย่างเหนียวแน่น ด้วยฟอร์มการเล่นระดับที่เรียกได้ว่าเป็นจ่าฝูงไร้พ่ายเลยทีเดียว โดยเฉพาะการที่พวกเขาสามารถบุกไปเก็บสามแต้มเต็มได้จากทีมแกร่งแห่งแดนล้านนา อย่าง “กว่างโซ้งมหาภัย” สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ดได้สำเร็จ ทำเอานักพนันข้างทีมแชมป์เก่าเซ็งกันเป็นแถว ๆ

หลังจากที่ฤดูกาลใหม่เริ่มต้นมาได้ถึง 11 นัด มันได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาไม่ได้มาแบบฟลุค ๆ เพราะอีกเพียงไม่กี่นัดก็จะถึงครึ่งฤดูกาลแล้ว ซึ่งพวกเขายังคงลอยลมบนอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูงด้วยผลงาน ชนะ 9 เสมอ 2 ยิงไปได้ 18 ประตูทิ้งห่างอันดับที่สองคือเชียงรายอยู่ถึง 6 แต้มในขณะที่ลงเล่นน้อยกว่าหนึ่งนัดอีกด้วย

โดยแนวทางการทำทีมของโค้ชโอ่งก็คือการเริ่มสร้างรากฐานมาจากเกมรับอันแข็งแกร่ง เริ่มจากสามเซ็นเตอร์ต่างชาติที่ล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งยังกะหินผาไม่ว่าจะเป็นวิคเตอร์ คาร์โดโซ่, ไอร์ฟาน ฟานดี้ และอันเดรส ตูเญซ ซึ่งนอกจากที่พวกเขาจะเป็นฝันร้ายของบรรดากองหน้าฝั่งตรงข้ามแล้ว พวกเขายังมีจุดเด่นในการทำประตูอีกด้วย ซึ่งเมื่อนำประตูของทั้งสามคนมารวมกันพวกเขาทำไปถึง 9 ประตูเลยทีเดียว นี่คือผลงานทำเงินให้เหล่าเซียนพนันกันถ้วนหน้า

ส่วนในแผงกองกลางโค้ชโอ่งใช้แกนหลักเป็นสองกองกลางทีมชาติไทยอย่าง สารัช อยู่เย็น และฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ และสุมัญญา ปุริสายซึ่งก็สามารถเล่นร่วมกันได้อย่างลงตัวซึ่งทำให้แผงกองกลางเหนียวแน่นมาก รวมไปถึงขับเคลื่อนเกมรุกให้กับทีมได้อย่างไหลลื่นอีกด้วย ส่วนในแนวรุกก็ยังมีเจนรบ สำเภาดี, โตติ, มารุโอกะ, รวมไปถึงศิโรจน์ ฉัตรทองให้ใช้งานอีกด้วย

เมื่อดูจากผลงานโดยรวมของทีมบีจี ปทุม ชุดนี้แล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีผลงานที่แข็งแกร่งชนิดไม่แพ้ใครและชนะไปถึง 9 นัด แต่ก็ยังดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังคงมีปัญหาอยู่ที่การจบสกอร์โดยเฉพาะตำแหน่งกองหน้าผู้รับหน้าที่นี้โดยตรงจะยังฝืดไปหน่อย ทำให้ต้องพึ่งพาการทำประตูจากกองหลังจอมโหดมากเกินไป ซึ่งจุดนี้ทางโค้ชโอ่งเองก็ดูจะเป็นกังวลอยู่เช่นกัน แต่ก็มีข่าวแว่วมาว่าพวกเขาเตรียมแผนใหญ่อย่างการดึงตัวธีรศิลป์กลับมาจากญี่ปุ่นอีกด้วย ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริงในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังแล้วละก็ วกเข้าจะโหดขึ้นกว่าที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน

การที่พวกเขามาถึงจุดนี้ได้นอกจากพลังสมองของโค้ชอย่างดุสิต เฉลิมแสน และความสามารถของผู้เล่นในทีมแล้วส่วนหนึ่งมันก็มาจากบรรดาผู้ที่สนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังอย่างแฟนบอล และที่สำคัญก็คือบอร์ดบริหารที่เอาจริงเอาจังชนิดทุ่มทุนสร้างอย่างยิ่งใหญ่นี่แหละ และสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้อาจจะนำพาให้พวกเขาสามารถก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งแชมป์ได้สำเร็จหลังจากที่พึ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาเพียงแค่ปีเดียว แถมอาจจะกลายเป็นแชมป์ชนิดไร้พ่ายไปเลยก็ได้

การพัฒนาการของฟุตบอลลีกภายในประเทศนั้นมันย่อมส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาฟุตบอลระดับทีมชาติไปด้วยในตัว เพราะการที่เรามีลีกฟุตบอลภายในประเทศที่แข็งแกร่งนั้นมันย่อมมีเวทีให้ผู้เล่นได้พัฒนาฝีเท้าตัวเองมากขึ้น และก้าวขึ้นมาเป็นกำลังรับใช้ทีมชาติด้วยนั่นเอง อย่างกรณีหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้เล่นดาวรุ่งที่กำลังทำผลงานได้อย่างดีในการแข่งขันโตโยต้าไทยลีก กับทีมชลบุรี เอฟซี อย่างกฤษฎา กาแมน แข้งเยาวชนทีมชาติไทยนั่นเอง

กฤษฎา กาแมน ซึ่งปัจจุบันมีอายุได้เพียงแค่ 21 ปีนั้น เป็นผลผลิตจากทีมเยาวชนของทีมชลบุรีเองเลย และปัจจุบันเขาได้กลายมาเป็นกำลังหลักในแดนกลางให้กับทีมชุดใหญ่ภายใต้การคุมทีมของ “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และถึงแม้ว่าฟอร์มของทีมโดยรวมนั้นชลบุรีในปีนี้จะยังไม่ร้อนแรงซักเท่าไหร่ แต่ถ้ามองไปถึงพัฒนาการส่วนตัวของกฤษฎาแล้วละก็ต้องบอกว่าน่าประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียว

ด้วยความที่ตัวของเจ้าและห์โดยตำแหน่งธรรมชาติเป็นกองกลางสไตล์บู๊ดุดันที่มีลูกขยันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มันจึงทำให้เขาได้รับโอกาสลงสนามค่อนข้างมากเพราะเป็นคุณสมบัติที่ไม่ว่าโค้ชคนไหนก็อยากจะมีอยู่ในทีม และเมื่อได้ลงเล่นบ่อย ๆ มันก็ช่วยให้เขาได้พัฒนาฝีเท้ามากขึ้นไปด้วยในตัว ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดที่เพิ่มขึ้นมาจากความขยันและการจ่ายบอลที่มีอยู่แต่เดิมก็คือ ลูกยิงไกลที่แยบคมมากขึ้น และยังมีการยิงฟรีคิกรวมถึงการเล่นลูกตั้งเตะต่าง ๆ อีกด้วย ทำให้ตอนนี้เขากลายเป็นลูกรักของโค้ชเตี้ยและผู้เล่นคนสำคัญที่จะขาดไปไม่ได้ของทางชลบุรี เอฟซีเลยทีเดียว

ส่วนในระดับทีมชาตินั้นแฟนฟุตบอลชาวไทยเองก็คงจะได้ยินชื่อเขามาแล้วบ้างพอสมควร เพราะชื่อของกฤษฎา กาแมน นั้นมีชื่อติดอยู่ในทีมชาติชุดเยาวชนมาแล้วแทบทุกชุดไล่มาตั้งแต่ 16 ปี 19 ปี 21 ปี และ 23 ปี โดยเฉพาะกับทีมชาติชุดอายุไม่เกิน 19 ปีนั้น เจ้าและห์ได้ฝากผลงานไว้ให้เป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งกำลังสำคัญ ที่พาทีมชุดนั้นก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์อาเซียนรุ่นไม่เกิน 19 ปี ได้สำเร็จ และถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่มีโอกาสลงเล่นในนามทีมชาติชุดใหญ่แต่ถ้าหากว่าตัวของเขายังคงมีพัฒนาการที่ยอดเยี่ยมแบบนี้เชื่อว่าอีกไม่นานโอกาสนั้นจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน

การพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาอย่างมากของกฤษฎา กาแมน นั้นมันทำให้เราได้เห็นแล้วว่าพัฒนาการของฟุตบอลลีกอาชีพภายในประเทศนั้นส่งผลดีต่อฟุตบอลทีมชาติไทยมากเพียงใด และยังมีผู้เล่นดาวรุ่งในไทยลีกอีกมากมายหลายคนที่กำลังใช้เวทีแห่งนี้ในการพัฒนาฝีเท้าตัวเอง เพื่อที่จะก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติไทยในอนาคต เพราะฉะนั้นส่วนหนึ่งที่สำคัญต่อฟุตบอลลีกก็คือแฟนบอลอย่างพวกเราจะต้องช่วยสนับสนุนให้ฟุตบอลลีกของเรามีมาตรฐานที่สูง ๆ ขึ้นไปเรื่อย ๆ บางทีเป้าหมายสูงสุดของทีมชาติที่เราเคยได้แต่ฝันอาจจะมาถึงในสักวันอันใกล้นี้ก็เป็นได้

ฟุตบอลโลก 2022 ที่การ์ต้า ทีมจากทวีปเอเชียจะได้สิทธิ์นอกเหนือจากเจ้าภาพการ์ต้า  4 ครึ่ง สำหรับรอบคัดเลือกโซนเอเชียจะแบ่งเป็นสามรอบ รอบแรกจะเป็นการคัดเลือกทีมที่มีอันดับฟีฟ่าแรงกิ้ง อันดับ 35 ถึง 46 ของทวีป เพื่อหา 6 ทีมเข้าสู่รอบคัดเลือกรอบที่ 2 ซึ่งจะเป็นการแข่งขันแบบแบ่งกลุ่ม 8 กลุ่ม กลุ่มละ 5 ทีม เพื่อหา 12 ทีมเข้าไปเล่นรอบคัดเลือกรอบสุดท้าย โดยทีมอันดับ 1 ของรอบสองนี้จะได้เข้าไปเล่นรอบคัดเลือกรอบสุดท้ายได้แบบอัตโนมัติ เช่นเดียวกับทีมอันดับ 2 ที่ดีที่สุด 4 ทีม

สำหรับทีมชาติไทยเราสามารถผ่านเข้ามาเล่นรอบสองได้โดยอัตโนมัติจากอันดับฟีฟ่าแรงกิ้ง โดยทีมชาติไทยอยู่ในกลุ่ม จี ร่วมกับ สหรัฐอาหรับเอมิเรต เวียดนาม มาเลเซีย และอินนีเซีย ณ ขณะนี้ เหลือกเกมอีก 3 นัดสุดท้าย  ทีมชาติไทยเรารั้งอันดับ 3 ของกลุ่มมี 8 คะแนน ตามหลังอันดับหนึ่ง เวียดนามที่มี 11 คะแนน และมาเลเซียมี 9 คะแนน โปรแกรมที่เหลือของทีมชาติไทย คือการเปิดบ้าเจอกับ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย รวมทั้งการไปเยือน ยูเออี ซึ่งต้องบอกว่าเรายังมีลุ้นกับการเป็นทั้งแชมป์กลุ่ม หรือรองแชมป์กลุ่มที่ดีที่สุดได้

โอกาสยังเปิดกว้าง ได้เปรียบกับการเล่นในบ้าน 2 เกม

สำหรับโอกาสที่จะได้เข้าไปเล่นในรอบคัดเลือกรอบ 3 ต่อไป ยังคงเปิดกว้างอย่สำหรับทีมชาติไทย ถ้าจะมองถึงอันดับ 1 คงต้องลุ้นให้ทางด้านเวียดนามพลาดท่าแพ้บ้างเกมใดเกมหนึ่ง ส่วนไทยต้องชนะรวดทั้ง 3 เกม ซึ่งถือว่ายากพอสมควรเนื่องจากงานหนักคือแมตซ์ที่ต้องยกพลไปเยือน ยูเออี แต่สำหรับอันดับ 2 ที่ดีที่สุด 4 ทีม ยังมีความเป็นไปได้กับการที่เรามีความได้เปรียบจากการได้ลงเล่นในบ้านพบกับ เสือเหลืองมาเลเซีย และ ทีมอิเหนา อินโดนีเซียที่ดูเหมือนทีมชาติไทยเราจะมีความเป็นต่ออยู่พอสมควร ซึ่งหากไทยสามารถเก็บ 6 แต้มกับการเล่นในบ้าน และ ยันเสมอเพื่อ 1 แต้มในเกมเยือน เราจะมี 15 แต้ม ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะได้เป็นทีมอันดับสองที่ดีที่สุด โดยแต่ละเกมจำเป็นต้องทำประตูให้ได้มากที่สุดไว้ก่อนเพื่อตุนไว้ในกรณีที่ต้องตัดสินกันด้วยประตูได้เสีย

แน่นอนว่าการได้เข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกรอบ 12 ทีมสุดท้าย ย่อมถือเป็นการยกระดับทีมชาติไทยเพื่อให้เราได้อยู่ในระดับต้น ๆ ของทวีป แน่นอนว่าการได้ลงเตะกับทีมระดับท็อปของทวีปย่อมทำให้เรามีความคุ้นเคย ได้ฝึกประสบการเมื่อต้องไปเยือนทีมใหญ่ต่อหน้ากองเชียร์เยอะ ๆ อย่างน้อยก็ถือว่าได้ใกล้เคียงกับการได้ไปเล่นฟุตบอลโลกในทุก ๆ ครั้งของการคัดเลือก และที่สำคัญการได้ไปเล่นรอบ 12 ทีมสุดท้ายยังจะได้สิทธิการไปเล่นฟุตบอลเอเชียน คัพ โดยอัตโนมัติอีกด้วย โดยโอกาสทั้งหมดนี้ ก็อยู่ที่การวางแท็คติคของกุนซือ อากิระ นิชิโนะ และฟอร์มการเล่นของนักเตะ รวมทั้งกำลังใจจากแฟนบอลถึงแม้จะติดปัญหาอุปสรรคจากโควิด – 19 อย่างไรก็แล้วแต่มาร่วมกันลุ้นให้ทีมชาติไทยได้ผ่านเข้ารอบไปให้ได้

ถ้าพูดถึงลีกฟุตบอลแนวหน้าของเอเชียคงหนีไม่พ้น เจลีกของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นลีกที่มีมาตรฐานระดับโลก รวมทั้งมีแฟนบอลเข้าชมหนาแน่นทุกนัด ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เหล่าบรรดาทีมใน เจลีก ให้ความสนใจนักเตะไทยและดึงตัวไปร่วมทีมในช่วงเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น เจ้าเจ ชนาธิป สงกระสินธ์ ที่ไปค้าแข้งกับ คอนซาโดเล่ ซัปโปโร่  ธีรศิลป์ แดงดา ไปอยู่กับ ชิมิสึ เอสพัลส์ หลังจากที่รอบแรกไปอยู่กับ ซานเฟรชเซ่ ฮิโรชิม่า ส่วนธีราธร บุญมาทัน รอบแรกอยู่กับ วิสเซล โกเบ และย้ายไปอยู่กับ โยโกฮาม่า เอฟมารินอส จนได้เป็นแชมป์ เจลีก ส่วน ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ที่อยู่กับ โออิตะ ตรินิด้า ก่อนย้ายกลับมาเล่นที่ไทย และรายล่าสุด มือกาวอย่าง กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ที่ย้ายจากโอเฮช ลูเวิร์น ทีมจากลีกเบลเยียม มาอยู่กับ เจ้าเจที่ คอนซาโดเล่ ซัปโปโร่

การได้ไปโชว์ฝีเท้าที่ญี่ปุ่นของบรรดานักเตะทีมชาติไทยทั้งหมดเหมือนเป็นใบเบิกทางให้กับนักเตะไทยคนอื่น ๆ ได้มีแรงกระตุ้น ให้พัฒนาตัวเองและโชว์ฝีเท้าทั้งในสโมสรและทีมชาติเพื่อให้เหล่าแมวมองของทีมต่าง ๆได้มีโอกาสเห็นและดึงตัวไปร่วมทีม อีกทั้งการโชว์ฟอร์มของนักเตะไทยใน เจลีก ยังเป็นเครื่องรับประกันให้กับนักเตะไทยคนอื่น ๆ ว่าสามารถดวลกับนักเตะญี่ปุ่นและนักเตะต่างชาติไน เจลีก ได้อย่างไม่มีปัญหาอีกด้วย

คงจะดีมิใช่น้อยหากมีนักเตะไทยคนอื่น ๆ ได้เจริญรอยตามไปเล่นให้กับทีมต่าง ๆ ในเจลีกเพิ่ม เพื่อเป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทั้งในแง่ของการฝึกซ้อมอย่างมืออาชีพแบบญี่ปุ่น รวมทั้งการได้ประลองฝีเท้ากับเหล่านักเตะญี่ปุ่นรวมทั้งนักเตะต่างชาติที่มีดีกรีสูงกว่าในไทยลีก เพื่อสร้างประสบการณ์และพัฒนาศักยภาพเพื่อยกระดับทีมชาติไทยให้ขึ้นมาสู่แนวหน้าของทวีปเอเชียได้ นักเตะไทยคนไหนจะเป็นรายต่อไปที่จะมีโอกาสได้ไปเล่นใน เจลีก

สารัช อยู่เย็น กองกลางห้องเครื่องทีมชาติไทยซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวว่าได้รับความสนใจจากหลายสโมสรในลีกอาทิตย์อุทัย จนล่าสุดก็ตกลงปลงใจย้ายไปเล่นให้กับ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ซึ่งความเป็นไปได้ในการย้ายทีมของสารัชในฤดูกาลนี้อาจจะยังเป็นไปไม่ได้เนื่องจากเพิ่งย้ายทีมหมาด ๆ แต่หากสารัชโชว์ฟอร์มให้กับต้นสังกัดได้อย่างโดดเด่น รวมทั้งในนามทีมชาติก็มีความเป็นไปได้ว่าเราจะได้ยินข่าวทีมจากญี่ปุ่นให้ความสนใจสารัช อีกครั้ง และอาจจะได้เห็นมิดฟิลด์เชือกวิเศษผู้นี้ไปโชว์ฝีเท้าในญี่ปุ่นจริง ๆ ก็ได้

ศุภโชค สารชาติ มิดฟิลด์ตัวรุกจากปราสาทสายฟ้า เป็นอีกหนึ่งรายที่ฟอร์มดีทั้งสโมสรและทีมชาติ อีกทั้งยังมีโอกาสได้โชว์ฝีเท้าในรายการเอเอฟซี แชมเปี้ยนลีก มาแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนี้ยังไม่มีทีมในญี่ปุ่นให้ความสนใจอย่างเป็นทางการ แต่ด้วยความที่เขาอายุยังน้อย ยังมีโอกาสได้พัฒนาฝีเท้าและโชว์ความสามารถอีกมาก อีกทั้งเป็นผู้เล่นตัวรุกที่สามารถเล่นได้หลายตำแหน่ง เชื่อว่า ศุภโชคคงมีโอกาสได้ไปเล่นใน เจลีกได้

เอกนิษฐ์ ปัญญา มิดฟิลด์ตัวรุกจากแดนล้านนา เป็นอีกหนึ่งรายที่โชว์ฟอร์มได้ดีมากกับต้นสังกัดชียงราย ยูไนเต็ด รวมทั้งทีมชาติไทย จนมีข่าวทีมจากญี่ปุ่นให้ความสนใจและมีการเปิดเผยว่าเป็นทีมใน เจลีก 2 แต่ทั้งนี้เจ้าตัวยังมีความต้องการรับใช้ต้นสังกัดเชียงราย ยูไนเต็ดต่อไป โดยจะมีรายการสำคัญให้ได้โชว์ฝีเท้าในฟุตบอลถ้วยใหญ่ของเอเชียฤดูกาลหน้า รวมทั้งรายการฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกกับทีมชาติไทย ซึ่งจะเป็นเวทีให้เอกนิษฐ์ ได้โชว์ฝีเท้าให้บรรดาเหล่าแมวมองได้เห็นกันแน่นอน

สำหรับการไปเล่นใน เจลีก ของนักเตะไทย ไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับทีมชาติไทยขึ้น แต่ยังทำให้แฟนบอลไทยได้รับชมฟุตบอลลีกญี่ปุ่นโดยที่มีนักเตะไทยลงเล่นอยู่ในจอทีวี ถือว่าเป็นการสร้างสีสันให้กับแฟนบอลอย่างมาก คงจะดีมิใช่น้อยหากแฟนบอลชาวไทยจะได้ติดตามผลงานของนักเตะไทยผ่านการถ่ายทอดสดจากลีกญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นหลาย ๆ คน รวมทั้งขยับขยาย ย้ายไปเล่นในเวทีที่ใหญ่ขึ้นอย่างลีกยุโรป แค่คิดก็สนุกแล้ว

ทีมฟุตบอลทั้งสโมสรและทีมชาติที่จะประสบความสำเร็จย่อมจำเป็นต้องมีเกมรับที่แข็งแกร่ง เสียประตูยาก และตำแหน่งสำคัญที่จะคอยบัญชาการเกมรับของทีมนั่นคือตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟ เช่นเดียวกันกับทีมชาติไทย ที่หากหวังจะประสบความสำเร็จในทัวนาเมนต์ต่าง ๆ ย่อมจำเป็นต้องมีเซ็นเตอร์ฮาล์ฟฝีเท้าดีไว้คอยบัญชาเกมรับให้กับทีมเช่นกัน

เซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่ดีควรมีความสามารถในการเล่นลูกกลางอากาศได้ดี สามารถอ่านเกมคู่แข่งได้ มีความเร็ว ความนิ่งในการประกบตัวผู้เล่นในแนวรุกคู่แข่ง และสามารถเข้าบอลได้อย่างแม่นยำ  คุณสมบัติแบบนี้ เซนเตอร์ฮาล์ฟทีมชาติไทยคนไหนมีเกณฑ์เข้าข่ายบ้าง

มานูเอล ทอมเบียร์

กองหลังลูกครึ่งไทย-เยอรมัน จากทรู แบงคอก ยูไนเต็ด น่าจะเป็นตัวเลือกเบอร์ 1 ในทีมชาติไทยในยุคของอากิระ นิชิโนะ ซึ่งต้องถือว่าเป็นกองหลังที่มีความสูงใหญ่ แข้งแกร่ง เล่นลูกกลางอากาศได้ดี มีลูกบู๊ ถึงลูกถึงคน อีกทั้งยังโชว์ฟอร์มได้ดีทั้งในสโมสร และกับทีมชาติในนัดที่ผ่าน ๆ มา ถือเป็นกองหลังที่มีคุณสมบัติค่อนข้างครบเครื่องเมื่อเทียบกับกองหลังไทยคนอื่น ๆ เชื่อว่าถ้าไม่มีปัญหาบาดเจ็บรบกวน มานูเอล ทอมเบีย น่าจะเป็นตัวเลือกเบอร์ 1 ในยุคนิชิโนะไปอีกระยะยาว

พรรษา เหมวิบูลย์   

เซ็นเตอร์ฮาล์ฟจากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นกองหลังที่มีความสูง อยู่ในเกณฑ์ดีสามารถเล่นลูกกลางอากาศได้ดี แต่อาจจะติดที่เรื่องของความเร็วที่อาจจะเป็นจุดอ่อนหากต้องเจอกับกองหน้าที่มีความเร็ว ส่วนเรื่องของฟอร์มการเล่นในช่วงที่ผ่านมาอาจจะมีผิดพลาดบ้าง ยังรักษาฟอร์มได้ไม่คงเส้นคงวา โดยรวมคงจะเป็นตัวเลือกในทีมชาติไทยในยุคอะกิระ นิชิโนะ ได้

เอเลียส ดอเลาะห์

กองหลังจากการท่าเรือ ลูกครึ่งไทย-สวีเดน เป็นกองหลังที่มีความสุงใหญ่ เล่นลูกกลางอากาศดี แต่ติดที่ฟอร์มโดยรวมยังถือว่าไม่นิ่งยังออกอาการผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง หากอยากจะขึ้นมาติดทีมชาติไทยในตำแหน่งปราการหลังตัวกลางอาจต้องโชว์ฟอร์มในสโมสรให้โดดเด่นขึ้น

สุพรรณ ทองสงค์

เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ จากสุพรรณบุรี อายุ เพียงแค่ 25 ปี ถือว่าเป็นกองหลังที่มีอนาคตไกลอีก 1 คน อีกทั้งยังโชว์ฟอร์มได้ดีตลอดทั้งกับสโมสรและทีมชาติ ปัญหาอย่างเดียวของสุพรรณ คือเรื่องของปัญหาอาการบาดเจ็บที่คอยรบกวนอยู่ตลอด หากสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ ถือว่าน่าจะเป็นกองหลังอีก 1 คนที่จะได้สวมเสื้อทีมชาติไทย

ธนบูรณ์ เกษารัตน์

ตำแหน่งธรรมชาติของเจ้าตั้มคือมิดฟิลด์ตัวรับ แต่ในยุคของซิโก้เป็นเฮดโค้ชได้ปรับเอาธนบูรณ์มาเล่นเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟ และก็ทำหน้าที่ได้ดีมาก จุดเด่นของธนบูรณ์คือการอ่านเกมส์ และความเร็ว ไม่ว่าอย่างไรน่าจะมีชื่อของเขาอยู่ในทีมชาติอย่างแน่นอน เนื่องจากสามารถเล่นได้สองตำแหน่ง

อย่างน้อยก็มีตัวเลือกให้นิชิโนะได้เลือกใช้งานสำหรับตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟอยุ่พอสมควร แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น แต่ละตัวเลือกอาจจะเหมาะกับเกมแต่ละนัดก็เป็นได้ เชื่อว่าอากิระนิชิโนะ คงจะมีตัวเลือกในใจสำหรับตำแหน่งสำคัญในการคุมเกมรับให้กับทีมชาติไทยในสามนัดที่เหลือของการคัดเลือกฟุตบอลโลกรอบสองอยู่แล้ว รอชมกันต่อไป