ถือว่ายังคงร้อนแรงต่อเนื่องสำหรับฟอร์มการเล่นของ “เดอะ แร็บบิท” บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ทีมน้องใหม่แห่งไทยลีก ที่นำทัพโดยโค้ชโอ่ง ดุสิต เฉลิมแสน ที่สลัดคราบน้องใหม่ที่พึ่งเลื่อนชั้นกลายมาเป็นผู้นำฝูงอย่างเหนียวแน่น ด้วยฟอร์มการเล่นระดับที่เรียกได้ว่าเป็นจ่าฝูงไร้พ่ายเลยทีเดียว โดยเฉพาะการที่พวกเขาสามารถบุกไปเก็บสามแต้มเต็มได้จากทีมแกร่งแห่งแดนล้านนา อย่าง “กว่างโซ้งมหาภัย” สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ดได้สำเร็จ ทำเอานักพนันข้างทีมแชมป์เก่าเซ็งกันเป็นแถว ๆ

หลังจากที่ฤดูกาลใหม่เริ่มต้นมาได้ถึง 11 นัด มันได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาไม่ได้มาแบบฟลุค ๆ เพราะอีกเพียงไม่กี่นัดก็จะถึงครึ่งฤดูกาลแล้ว ซึ่งพวกเขายังคงลอยลมบนอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูงด้วยผลงาน ชนะ 9 เสมอ 2 ยิงไปได้ 18 ประตูทิ้งห่างอันดับที่สองคือเชียงรายอยู่ถึง 6 แต้มในขณะที่ลงเล่นน้อยกว่าหนึ่งนัดอีกด้วย

โดยแนวทางการทำทีมของโค้ชโอ่งก็คือการเริ่มสร้างรากฐานมาจากเกมรับอันแข็งแกร่ง เริ่มจากสามเซ็นเตอร์ต่างชาติที่ล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งยังกะหินผาไม่ว่าจะเป็นวิคเตอร์ คาร์โดโซ่, ไอร์ฟาน ฟานดี้ และอันเดรส ตูเญซ ซึ่งนอกจากที่พวกเขาจะเป็นฝันร้ายของบรรดากองหน้าฝั่งตรงข้ามแล้ว พวกเขายังมีจุดเด่นในการทำประตูอีกด้วย ซึ่งเมื่อนำประตูของทั้งสามคนมารวมกันพวกเขาทำไปถึง 9 ประตูเลยทีเดียว นี่คือผลงานทำเงินให้เหล่าเซียนพนันกันถ้วนหน้า

ส่วนในแผงกองกลางโค้ชโอ่งใช้แกนหลักเป็นสองกองกลางทีมชาติไทยอย่าง สารัช อยู่เย็น และฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ และสุมัญญา ปุริสายซึ่งก็สามารถเล่นร่วมกันได้อย่างลงตัวซึ่งทำให้แผงกองกลางเหนียวแน่นมาก รวมไปถึงขับเคลื่อนเกมรุกให้กับทีมได้อย่างไหลลื่นอีกด้วย ส่วนในแนวรุกก็ยังมีเจนรบ สำเภาดี, โตติ, มารุโอกะ, รวมไปถึงศิโรจน์ ฉัตรทองให้ใช้งานอีกด้วย

เมื่อดูจากผลงานโดยรวมของทีมบีจี ปทุม ชุดนี้แล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีผลงานที่แข็งแกร่งชนิดไม่แพ้ใครและชนะไปถึง 9 นัด แต่ก็ยังดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังคงมีปัญหาอยู่ที่การจบสกอร์โดยเฉพาะตำแหน่งกองหน้าผู้รับหน้าที่นี้โดยตรงจะยังฝืดไปหน่อย ทำให้ต้องพึ่งพาการทำประตูจากกองหลังจอมโหดมากเกินไป ซึ่งจุดนี้ทางโค้ชโอ่งเองก็ดูจะเป็นกังวลอยู่เช่นกัน แต่ก็มีข่าวแว่วมาว่าพวกเขาเตรียมแผนใหญ่อย่างการดึงตัวธีรศิลป์กลับมาจากญี่ปุ่นอีกด้วย ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริงในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังแล้วละก็ วกเข้าจะโหดขึ้นกว่าที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน

การที่พวกเขามาถึงจุดนี้ได้นอกจากพลังสมองของโค้ชอย่างดุสิต เฉลิมแสน และความสามารถของผู้เล่นในทีมแล้วส่วนหนึ่งมันก็มาจากบรรดาผู้ที่สนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังอย่างแฟนบอล และที่สำคัญก็คือบอร์ดบริหารที่เอาจริงเอาจังชนิดทุ่มทุนสร้างอย่างยิ่งใหญ่นี่แหละ และสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้อาจจะนำพาให้พวกเขาสามารถก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งแชมป์ได้สำเร็จหลังจากที่พึ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาเพียงแค่ปีเดียว แถมอาจจะกลายเป็นแชมป์ชนิดไร้พ่ายไปเลยก็ได้

สำหรับกีฬามวยไทยนั้นนอกจากจะเป็นศิลปะการต่อสู้ที่คนไทยเราภาคภูมิใจดังที่บอกกันว่า “มวยไทย มรดกไทย มรดกโลก” แล้วนั้น ที่ผ่านมามวยไทยยังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่าเป็นกีฬาศิลปะการต่อสู้ของคนทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ล้วนแล้วแต่เคยผ่านสังเวียนมาให้เห็นแล้วทั้งสิ้น หรือแม้แต่เพศที่สามหรือสาวประเภทสองเองก็มีเช่นเดียวกัน และนักชกสาวสองที่เคยโด่งดังสุด ๆ มาแล้วก็เคยมีให้เห็นอย่างเช่น “น้องตุ้ม ปริญญา เกียรติบุษบา” เมื่อหลายปีที่ผ่านมา

ส่วนในช่วงเวลาปัจจุบันนี้ก็ดูเหมือนว่าเราจะค้นพบสาวสวยคนใหม่ ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นนางฟ้าบนสังเวียนผ้าใบอีกคนแล้วนั่นก็คือ “น้องโรส บ้านเจริญสุข” นั่นเอง ซึ่งเมื่อดูจากผลงานบนเวทีของเธอแล้วต้องบอกเลยว่าสาวคนนี้ของจริงเก่งจริง เพราะในยามที่เธออยู่บนสังเวียนผ้าใบนั้นดูเหมือนว่าเธอจะสลัดคราบหวาน ๆ ของเธอออกไปจนแทบจะหมด และต่อยเตะได้ดุดันจนน่ากลัวอย่างมากเลยทีเดียว และอาวุธของเธอแต่ละอย่างไม่ว่าจะเป็นแข้งซ้าย หมดขวา เข่าและศอกนั้นนอกจากเธอจะออกได้อย่างสวยงามและครบเครื่องแล้ว มันยังหนักหน่วงแบบที่พร้อมจะส่งคู่ต่อสู้ลงไปกองกับพื้นให้กรรมการนับตลอดเวลาเลยทีเดียว สมฉายา “กุหลาบอาบยาพิษ” พี่เป็นฉายาประจำตัวอย่างที่สุด

โดยน้องโรสนั้นได้เริ่มต้นเส้นทางบนสังเวียนนักสู้ตั้งแต่อายุเพียงแค่ 8 ขวบเท่านั้น เนื่องจากต้องการให้มวยเป็นช่องทางในการหารายได้ช่วยครอบครัวอีกทางหนึ่ง และได้ต่อยมาเรื่อย ๆ จนเริ่มมาจริงจังเมื่อตอนอายุ 17 ปี โดยการย้ายเข้ามาอยู่ในค่ายมวยบ้านเจริญสุขที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และใช้ชื่อว่าน้องโรส บ้านเจริญสุขมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเธอมีอายุได้ 24 ปีแล้ว ตัวเธอมีโอกาสโชว์ฝีไม้ลายมือสู่สายตาแฟนมวยชาวไทยและแฟนมวยทั่วโลกครั้งแรกในศึกยอดมวยไทยรัฐเมื่อปี 2552 ด้วยการชนะคะแนน เปเป้ ต. หลักสอง ไปได้สำเร็จ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเธอก็เริ่มต้นเป็นที่รู้จักของแฟนมวยมากขึ้น ๆ จนกลายมาเป็นมวยระดับแม่เหล็กของเวทีที่ทำยอดขายตั๋วได้ถึงสองล้านครึ่งเลยทีเดียว และจากวันนั้นจนถึงวันนี้เธอก็ผ่านการประทะกับนักมวยระดับแนวหน้าของไทยรวมถึงต่างชาติมาอย่างโชกโชนเลยทีเดียว

การชกมวยไทยของสาวประเภทสองนั้นแน่นอนว่ามันจะต้องยากกว่าการชกของผู้หญิงแท้ ๆ เพราะผู้หญิงนั้นจะชกกับคู่ต่อสู้ที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน แต่สาวสองอย่างน้องโรสนั้นจะต้องปะทะกับนักมวยชายเลย มันจึงอาจจะทำให้ดูเหมือนว่าความสวยหวานของพวกเธอนั้นจำให้เสียเปรียบ แต่น้องโรสก็ทำให้เห็นแล้วว่ามันหาได้เป็นแบบนั้นไม่ และแชมป์สามรายการที่เธอคว้ามาได้ก็เป็นเครื่องการันตีได้เป็นอย่างดี ว่าดอกไม้ที่สวยงามดอกนี้มีพิษร้ายแรงเพียงใด

การพัฒนาการของฟุตบอลลีกภายในประเทศนั้นมันย่อมส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาฟุตบอลระดับทีมชาติไปด้วยในตัว เพราะการที่เรามีลีกฟุตบอลภายในประเทศที่แข็งแกร่งนั้นมันย่อมมีเวทีให้ผู้เล่นได้พัฒนาฝีเท้าตัวเองมากขึ้น และก้าวขึ้นมาเป็นกำลังรับใช้ทีมชาติด้วยนั่นเอง อย่างกรณีหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้เล่นดาวรุ่งที่กำลังทำผลงานได้อย่างดีในการแข่งขันโตโยต้าไทยลีก กับทีมชลบุรี เอฟซี อย่างกฤษฎา กาแมน แข้งเยาวชนทีมชาติไทยนั่นเอง

กฤษฎา กาแมน ซึ่งปัจจุบันมีอายุได้เพียงแค่ 21 ปีนั้น เป็นผลผลิตจากทีมเยาวชนของทีมชลบุรีเองเลย และปัจจุบันเขาได้กลายมาเป็นกำลังหลักในแดนกลางให้กับทีมชุดใหญ่ภายใต้การคุมทีมของ “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และถึงแม้ว่าฟอร์มของทีมโดยรวมนั้นชลบุรีในปีนี้จะยังไม่ร้อนแรงซักเท่าไหร่ แต่ถ้ามองไปถึงพัฒนาการส่วนตัวของกฤษฎาแล้วละก็ต้องบอกว่าน่าประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียว

ด้วยความที่ตัวของเจ้าและห์โดยตำแหน่งธรรมชาติเป็นกองกลางสไตล์บู๊ดุดันที่มีลูกขยันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มันจึงทำให้เขาได้รับโอกาสลงสนามค่อนข้างมากเพราะเป็นคุณสมบัติที่ไม่ว่าโค้ชคนไหนก็อยากจะมีอยู่ในทีม และเมื่อได้ลงเล่นบ่อย ๆ มันก็ช่วยให้เขาได้พัฒนาฝีเท้ามากขึ้นไปด้วยในตัว ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดที่เพิ่มขึ้นมาจากความขยันและการจ่ายบอลที่มีอยู่แต่เดิมก็คือ ลูกยิงไกลที่แยบคมมากขึ้น และยังมีการยิงฟรีคิกรวมถึงการเล่นลูกตั้งเตะต่าง ๆ อีกด้วย ทำให้ตอนนี้เขากลายเป็นลูกรักของโค้ชเตี้ยและผู้เล่นคนสำคัญที่จะขาดไปไม่ได้ของทางชลบุรี เอฟซีเลยทีเดียว

ส่วนในระดับทีมชาตินั้นแฟนฟุตบอลชาวไทยเองก็คงจะได้ยินชื่อเขามาแล้วบ้างพอสมควร เพราะชื่อของกฤษฎา กาแมน นั้นมีชื่อติดอยู่ในทีมชาติชุดเยาวชนมาแล้วแทบทุกชุดไล่มาตั้งแต่ 16 ปี 19 ปี 21 ปี และ 23 ปี โดยเฉพาะกับทีมชาติชุดอายุไม่เกิน 19 ปีนั้น เจ้าและห์ได้ฝากผลงานไว้ให้เป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งกำลังสำคัญ ที่พาทีมชุดนั้นก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์อาเซียนรุ่นไม่เกิน 19 ปี ได้สำเร็จ และถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่มีโอกาสลงเล่นในนามทีมชาติชุดใหญ่แต่ถ้าหากว่าตัวของเขายังคงมีพัฒนาการที่ยอดเยี่ยมแบบนี้เชื่อว่าอีกไม่นานโอกาสนั้นจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน

การพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาอย่างมากของกฤษฎา กาแมน นั้นมันทำให้เราได้เห็นแล้วว่าพัฒนาการของฟุตบอลลีกอาชีพภายในประเทศนั้นส่งผลดีต่อฟุตบอลทีมชาติไทยมากเพียงใด และยังมีผู้เล่นดาวรุ่งในไทยลีกอีกมากมายหลายคนที่กำลังใช้เวทีแห่งนี้ในการพัฒนาฝีเท้าตัวเอง เพื่อที่จะก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติไทยในอนาคต เพราะฉะนั้นส่วนหนึ่งที่สำคัญต่อฟุตบอลลีกก็คือแฟนบอลอย่างพวกเราจะต้องช่วยสนับสนุนให้ฟุตบอลลีกของเรามีมาตรฐานที่สูง ๆ ขึ้นไปเรื่อย ๆ บางทีเป้าหมายสูงสุดของทีมชาติที่เราเคยได้แต่ฝันอาจจะมาถึงในสักวันอันใกล้นี้ก็เป็นได้

หลังจากที่มีข่าวออกมาให้แฟนฟุตบอลชาวไทยได้ตื่นเต้นกันอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ดูเหมือนกับว่าข่าวคราวนั้นดูจะเงียบ ๆ ไป สำหรับข่าวการสนใจในตัวของ เจ ชนาธิป สงกระสินต์ กองกลางตัวรุกสัญชาติไทยของทาง เอลเซ่ ทีมฟุตบอลน้องใหม่ที่พึ่งจะเลื่อนชั้นขึ้นสู่เวที ลา ลีกา ฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศสเปนได้แบบสด ๆ ร้อน ๆ นั้นมีความสนใจอย่างจริงจังที่จะดึงตัวเจ้าเจไปลากเลื้อยโชว์เพลงแข้งที่แดนกระทิงดุ

ว่ากันว่าทางสโมสรฝั่งนู้นได้เจรจารายละเอียดกับทางผู้จัดการของทางชนาธิปไปเรียบร้อยแล้ว มันจึงทำให้แฟนฟุตบอลชาวไทยตาเป็นประกายเลยทีเดียว เพราะมีความหวังจะได้เห็นนักฟุตบอลขวัญใจของพวกเราได้เล่นบนเวทีระดับโลกแบบนั้น ดังนั้นเมื่อกระแสข่าวที่ออกมาดูเหมือนว่าจะเงียบไปมันเลยทำให้แฟนบอลบ้านเรา ดูจะผิดหวังตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเกิดการตั้งคำถามว่าข่าวที่ออกมานั้นเป็นข่าวจริงหรือว่าเป็นแค่ข่าวโคมลอยกันแน่

ซึ่งหากลองวิเคราะห์กันดูแล้วจะเห็นว่าข่าวนี้มีความเป็นไปได้สูงมากเลยทีเดียวที่จะเป็นความจริง เพราะด้วยความที่เอลเซ่นั้นเป็นทีมน้องใหม่ที่พึ่งจะเลื่อนชั้นขึ้นมา งบประมาณในการทำทีมนั้นน่าจะยังคงมีไม่มากนัก ดังนั้นการดึงแข้งจากตลาดเอเชียน่าจะเป็นทางเลือกในการทำทีมที่เหมาะสม เพราะเราก็เห็นกันมาอยู่บ่อย ๆ ว่าตลาดใหญ่เอเชียอย่างเจลีกนั้นเป็นที่ที่บรรดาทีมเล็กในยุโรปมาจับจ่ายผู้เล่นฝีเท้าดีราคาถูกไปร่วมทีม และปลุกปั้นจนโด่งดังขายทำกำไรมาแล้วตั้งหลายคน และตัวชนาธิปเองก็ถือว่าสอบผ่านในระดับเจลีกมาแล้วอย่างสวยงามอีกด้วย ส่วนในเรื่องสรีระที่ดูแล้วเขาน่าจะเสียเปรียบผู้เล่นต่างชาติอยู่บ้างก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะที่ญี่ปุ่นเขาก็เจอกับคู่ต่อสู้ระดับนี้อยู่มากพอสมควรแถมฟุตบอลสเปนเองก็เน้นที่การจ่ายบอลและการเคลื่อนที่ซึ่งตัวเขาเองก็ทำได้ดีอีกด้วย และนอกจากเรื่องภายในสนามแล้วเรื่องฐานแฟนบอลก็ได้ประโยชน์พอสมควรเลยทีเดียว ด้วยความที่ชนาธิปนอกจากจะเป็นขวัญใจแฟนบอลไทยแล้วเขาก็ยังชนะใจแฟนบอลที่ซัปโปโรไม่น้อยอีกด้วย

เมื่อวิเคราะห์จากปัจจัยบวกที่ว่ามาข้างต้นนั้นจะเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่ตัวของชนาธิปนั้นจะได้รับความสนใจจากสโมสรเอลเซ่จริง เพียงแต่ว่าอาจมีปัจจัยอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากที่ทางสโมสรและผู้จัดการส่วนตัวจะจัดการได้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านความกังวลเกี่ยวการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังคงไม่สามารถควบคุมได้ หรือความกังวลเรื่องรายรับรายจ่ายของสโมสรหลังการแพร่ระบาดที่ส่งผลกระทบโดยตรงสู่ทุกทีม รวมไปถึงอาการบาดเจ็บของเจ้าตัวเองที่อาจจะทำให้การตรวจร่างกายยังไม่ผ่านหรือทางเอลเซ่กังวลว่าจะยาว หรือแม้กระทั่งทางฝั่งซัปโปโรเองก็อาจจะยังอยากเก็บเขาไว้ช่วยทีมต่ออีกก็ได้ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดต้องบอกเลยว่าข่าวนี้มีโอกาสเป็นไปได้สูง เพียงแต่ว่าจะต้องลุ้นกันแบบยาว ๆ เลยทีเดียวสำหรับแฟนบอลชาวไทย

นับว่าเป็นข่าวดีและถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับวงการวอลเลย์บอลบ้านเรา สำหรับข่าวการย้ายทีมไปเล่นในวอลเลย์บอลลีกอาชีพของประเทศญี่ปุ่น ของ “แนน” ทัดดาว นึกแจ้ง บอลเร็วสาวทีมชาติไทย ที่พึ่งจะได้รับโอกาสครั้งสำคัญในอาชีพนักกีฬาของเธอเมื่อไม่นานมานี้

แน่นอนว่ารายการลีกวอลเลย์บอลอาชีพของประเทศญี่ปุ่น หรือวีลีก นั้นเป็นลีกการแข่งขันวอลเลย์บอลที่ถือได้ว่าเป็นลีกขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของโลก และในการแข่งขันในลีกนี้ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยนักวอลเลย์บอลระดับโลกมากมาย มันจึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมากที่นักตบลูกยางสาวจากบ้านเราซักคนจะได้ไปเล่นที่นั่น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีใครได้รับโอกาสมาก่อนหน้านี้ เพราะก่อนที่จะมาถึงโอกาสของทัดดาวก็มีนักวอลเลย์บอลอย่างอรอุมา สิทธิรักษ์, ชัชชุอร โมกศรี และแก้วกัลยา กมุลทะลาเคยผ่านเวทีนี้มาก่อนแล้วเช่นกัน แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในการไปของทัดดาวในครั้งนี้ก็คือ ทีมที่ดึงตัวของเธอไปร่วมทีมก็คือ เจที มาร์เวลลัส ซึ่งเป็นอดีตทีมเก่าของ “ทิพย์” แก้วกัลยา เมื่อปีที่แล้วนั่นเอง

เมื่อฤดูกาลที่แล้วนั้นในทีมเจที มาร์เวลลัส ตำแหน่งบอลเร็วของทีมเป็นของ “ทิพย์” แก้วกัลยา กมุลทะลา นักตบสาวชาวไทย ซึ่งเธอพึ่งจะสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักวอลเลย์บอลชาวไทยคนแรกที่สามารถคว้าตำแหน่งแชมป์วีลีกญี่ปุ่นมาครองได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นการจารึกชื่อไว้บนหอเกียรติยศของวงการวอลเลย์บอลบ้านเราเลยทีเดียว ก่อนที่เธอจะหมดสัญญากับทีมและกลับมาเล่นในวอลเลย์บอลหญิงไทยแลนด์ลีก กับทีมขอนแก่นสตาร์ วีซี

และในการหาตัวแทนของทิพย์ในฤดูกาลนี้ทาง เจที มาร์เวลลัส ก็เลือกมาที่ “แนน” ทัดดาว นึกแจ้ง ซึ่งเป็นตำแหน่งบอลเร็วเหมือนกัน เรียกได้ว่าเป็นการเลือกเพื่อเป็นตัวแทนกันโดยตำแหน่งเลยทีเดียว มันจึงเท่ากับว่าการย้ายไปญี่ปุ่นในครั้งนี้ของทัดดาว มีโจทย์ใหญ่เป็นภารกิจใหญ่ของเธอร่วมกับทีมก็คือการป้องกันแชมป์ที่ฤดูกาลที่แล้วทิพย์ได้สร้างไว้อย่างยิ่งใหญ่นั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าความแข็งแกร่งของทีมระดับแชมป์เก่าย่อมจะช่วยให้เธอและเพื่อนร่วมทีมมีโอกาสที่จะทำได้สำเร็จมากขึ้นอยู่บ้าง แต่ก็คงต้องบอกเลยว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะทุกทีมในลีกล้วนแต่แข็งแกร่งแทบทั้งสิ้น และเจที มาร์เวลลัสเองก็พึ่งจะเป็นแชมป์ครั้งแรกรับรองว่าคงจะเหนื่อยอย่างมากเลยทีเดียว

คงต้องเอาใจช่วยกันอย่างมากเลยถ้าหากว่าเราหวังจะเห็นการย้ายทีมของทัดดาว นึกแจ้ง บอลเร็วสาวขวัญใจชาวไทยอีกหนึ่งคนประสบความสำเร็จ แต่อย่างน้อย ๆ ประสบการณ์การเล่นวอลเลย์บอลระดับสูงที่เธอได้รับมาจากการเล่นที่ญี่ปุ่นนั้น จะช่วยพัฒนาฝีมือของตัวเธอได้เป็นอย่างดี ซึ่งมันก็เป็นผลดีโดยตรงกับทีมชาติไทยเราอีกด้วย และที่สำคัญในฤดูกาลนี้ยังมีผู้เล่นชาวไทยคนอื่นอีกสองคนที่ได้ไปเล่นที่ญี่ปุ่น ดังนั้นสำหรับวงการวอลเลย์บอลไทยแล้วมีแต่ได้กับได้

สำหรับวงการวอลเลย์บอลบ้านเรานั้นสิ่งหนึ่งที่พาให้กีฬาชนิดนี้ให้ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในกีฬายอดนิยมของแฟน ๆ ชาวไทย มันเกิดมาจากความสำเร็จของกลุ่มนักวอลเลย์บอลยุคบุกเบิกที่เป็นที่รู้จักกันในหมู่แฟน ๆ ว่ากลุ่มห้าเซียนนั่นเอง พวกเธอสามารถพาทีมชาติไทยก้าวขึ้นไปประสบความสำเร็จอย่างมากมายและทำให้ไทยกลายเป็นหนึ่งในทีมวอลเลย์บอลชั้นนำของโลก และสามารถสู้กับทีมแนวหน้าของโลกได้อย่างสูสีถึงแม้ว่าจะเสียเปรียบเรื่องสรีระอย่างมากก็ตาม

แต่ไม่ว่าอย่างไรงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราเสมอ กลุ่มห้าเซียนเองก็มีวันที่จะร่วงโรยไปตามวัยด้วยเช่นกันซึ่งถึงแม้ว่ามันจะยังไม่ถึงเวลาที่พวกเธอทั้งหมดจะหายไปจากทีมเลยเสียทีเดียว แต่มันก็มีสัญญาณหลาย ๆ อย่างส่งมาให้เห็นแล้วว่าช่วงเวลาดังกล่าวมันกำลังจะมาถึง ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนอบรมโค้ชของกัปตันกิ๊บ วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์ หรือข่าวการวางมือของคนนั้นคนนี้ที่มีออกมาให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ

มันจึงทำให้แฟนวอลเลย์บอลต่างมีความกังวลว่าฟอร์มการเล่นของทีมชาติไทยจะยังคงอยู่ในระดับเดียวกันหรือไม่ หลังจากที่พวกเธอเหล่านั้นวางมือไปลองมาส่องดูกันว่าผู้เล่นที่ถูกวางเอาไว้ให้เป็นตัวแทนของบรรดาห้าเซียนนั้นมันมีใครกันบ้าง และพวกเธอเหล่านั้นจะสามารถทดแทนรุ่นพี่ได้ดีเพียงใด

ในตำแหน่ง “มือเซ็ต” เป็นตำแหน่งที่ลำบากพอสมควรที่จะหาคนมาแทน เพราะเจ้าของตำแหน่งคนเดิมอย่างนุศรา ต้อมคำ นั้นสร้างมาตรฐานไว้สูงมาก ๆ เพราะเธอถือเป็นมือเซ็ตที่อยู่ในระแนวหน้าของโลกเลยทีเดียว ส่วนตัวแทนที่วางเอาไว้นั้นก็จะมี พรพรรณ เกิดปราชญ์ และยังมีโสรยา พรมหล้า และกุลภา เปี่ยมพงษ์สานต์ ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่าพอมีประสบการณ์ระดับชาติมาพอสมควรแล้ว และก็ยังมีผู้เล่นดาวรุ่งอีกหลายคนที่น่าจับตามอง

ส่วนตัวรุกในตำแหน่งหัวเสารวมไปถึงบีหลังนั้นถือว่าไม่น่าเป็นห่วงมาก เพราะทุกวันนี้ก็มีผู้เล่นหน้าใหม่ที่ขึ้นมาเล่นร่วมกับรุ่นพี่มานานพอสมควรและมีผลงานอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจอีกด้วยก็คือ อัจฉราพร คงยศ, ชัชชุอร โมกศรี, และพิมพิชยา ก๊กรัมย์ ซึ่งสามารถทดแทนการหายไปของ วิลาวัณย์, อรอุมา, และมลิกา ได้อย่างแน่นอน

และในตำแหน่งบอลเร็วที่เจ้าของตำแหน่งเดิมอย่าง ปลื้มจิตร์ ถินขาว ที่ถือเป็นขวัญใจแฟนวอลเลย์บอลคนหนึ่งนั้น ตัวแทนที่จะขึ้นมาแทนพี่หน่องก็ถือว่ามีตัวเลือกหลายคนเลยทีเดียวซึ่งก็จะมีทัดดาว นึกแจ้งและหัตถยา บำรุงสุขที่มีประสบการณ์ในทีมชาติมาหลายปี รวมไปถึงแก้วกัลยา กมุลทะลา ที่พึ่งสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ลีกมาจากญี่ปุ่นด้วย แถมยังมีดาวรุ่งที่น่าจับตามองในตำแหน่งนี้อีกมากมายหลายคนเลยทีเดียว

แน่นอนว่าการขาดหายไปจากทีมชาติของกลุ่มห้าเซียนในอนาคตอันใกล้นี้ ย่อมจะสร้างช่องโหว่ไว้ให้กับทีมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ต้องไม่ลืมว่านอกจากพวกเธอจะสร้างความสำเร็จให้กับวอลเลย์บอลบ้านเราแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่พวกเธอสร้างก็คือแรงบันดาลใจ ซึ่งมันทำให้เด็กยุคใหม่เอาเป็นแบบอย่างและพัฒนาตัวเองขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับพวกเธอได้ และเมื่อถึงเวลาที่พวกเธอเลิกเล่นไปจริง ๆ เชื่อว่าเด็กเหล่านั้นจะขึ้นมาแทนและสามารถทำผลงานได้ดีไม่แพ้กันอย่างแน่นอน

เป็นอีกหนึ่งข่าวดีสำหรับวงการสนุกเกอร์ไทย สำหรับฟอร์มการเล่นอันร้อนแรงของนักสอยคิวบ้านเราอย่าง “เอฟ นครนายก” หรือเทพไชยา อุ่นหนู ที่มีฟอร์มการออกคิวที่ร้อนแรงมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว ที่สามารถคว้าแชมป์ชู้ตเอาท์ 2019 ได้เมื่อปลายปีที่แล้ว ก่อนที่จะมาโดนพิษการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาหยุดความร้อนแรงของเขาไปอย่างน่าเสียดาย

หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลายจนทำให้สนุกเกอร์สามารถกลับมาแข่งขันได้อีกครั้ง เขาก็ได้รับโอกาสบินไปร่วมศึกอิงลิช โอเพ่น 2020 ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะมีอันต้องตกรอบ 64 คนไปด้วยฝีมือของเบน แฮนคอร์นนักสอยคิวเจ้าถิ่นอย่างน่าเสียดาย แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้คะแนนสะสมของเขาก้าวขึ้นไปติดเป็นอันดับขึ้นไปเป็นนักสนุกเกอร์ 16 อันดับแรกของโลกได้สำเร็จ

การที่เอฟสามารถก้าวขึ้นไปติดหนึ่งใน 16 อันดับแรกของโลกได้นั้น ทำให้เขากลายเป็นนักสนุกเกอร์ของชาวไทยคนที่สองต่อจากรัชพล ภู่โอบอ้อมหรือ “ต๋อง ศิษย์ฉ่อย” ที่สามารถก้าวขึ้นไปได้สูงถึงอันดับ 3 ของโลกในปี 1995 และนอกจากนั้นมันยังมีสิ่งดี ๆ อีกหลายอย่างตามมานั่นก็คือถ้าหากเขายังสามารถรักษาอันดับนี้ต่อไปเรื่อย ๆ อย่างน้อยก็คือจนกว่าจะจบรายการยูเค แชมเปี้ยนชิพ 2020 ที่จะทำการแข่งขันที่ประเทศอังกฤษอีกเช่นกัน ซึ่งถ้าหากหลังทัวร์นาเมนท์ดังกล่าวเขายังคงอยู่ในอันดับนี้ได้ เขาจะได้รับสิทธิ์เข้าร่วมรายการหนึ่งในสามรายการที่เป็นระดับทริปเปิ้ล คราวน์อย่างเดอะ มาสเตอร์ 2021 และถ้าหากสามารถทำได้ดีมากกว่านั้นคือยังคงรักษาอันดับอยู่ใน 16 คนแรกต่อได้จนถึงจบรายการทัวร์ แชมเปี้ยนชิพช่วงปลายปีแล้วละก็ จะทำให้เทพไชยาของเราได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันในรายการชิงแชมป์โลกในฐานะตัวยืนในรอบแรกอีกด้วย

นับว่านี่คือโอกาสอันดีที่ตกมาอยู่ในมือของเอฟ นครนายก ในแบบที่เขาสามารถกำหนดเส้นทางได้ด้วยตัวเองเลยทีเดียว เพราะจากนี้เขาไม่ต้องไปลุ้นให้นักสนุกเกอร์คนไหนแพ้หรือชนะ เพียงแค่รักษาผลงานของตัวเองให้อยู่ในระดับนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาได้สิทธิพิเศษต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นมาครองได้โดยอัตโนมัติ ถึงแม้ว่าระยะทางจากนี้ไปยังคงดูเหมือนว่าจะยาวไกลไม่น้อย แต่มาถึงจุดนี้แล้วความเป็นไปได้มันย่อมสูงมากกว่าที่เคยมีอย่างแน่นอน

จากนี้ไปแฟนสนุกเกอร์ไทยคงจะต้องส่งแรงใจไปช่วยเทพไชยาอย่างมาก เพราะเส้นทางที่เหลืออยู่ย่อมที่จะไม่ง่ายแน่ แต่เมื่อมันไม่ง่ายดายสิ่งที่รออยู่ตรงปลายทางก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน เพราะสิ่งเหล่านั้นก็คือการที่จะทำให้เขาก้าวขึ้นไปเทียบกับตำนานนักสอยคิวไทยอย่างต๋อง ศิษย์ฉ่อย หรือถ้าหากเขาทำได้ดีกว่านั้นเราอาจจะได้เห็นเขาสร้างตำนานบทใหม่ขึ้นมาก็เป็นได้

สำหรับการแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น ที่มีการเลื่อนการจัดการแข่งขันไปเป็นช่วงกลางปีหน้าเนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 นั้น ในชนิดกีฬาศิลปะการต่อสู้อย่างเทควันโดความหวังสูงสุดของทัพนักกีฬาไทยยังคงฝากเอาไว้ที่นักเทควันโดหญิงอย่าง “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ในรุ่น 49 กิโลกรัมหญิงอยู่เช่นเดิม

การที่ยกให้เทนนิสเป็นความหวังสูงสุดในการที่จะคว้าเหรียญทองมาฝากคนไทยในครั้งนี้ของสมาคมเทควันโด ไม่ใช่เพียงแค่เพราะว่าในขณะนี้เธอเป็นนักเทควันโดเพียงคนเดียวที่ได้รับสิทธิ์เท่านั้น แต่ผลงานของเธอในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะปีล่าสุดที่เธอไม่แพ้ให้แก่คู่ต่อสู้คนใดเลยตลอดทั้งฤดูกาลแข่งขัน จนทำให้เธอครองตำแหน่งอันดับหนึ่งของโลกในรุ่น 49 กิโลกรัมตลอดทั้งปี มันจึงดูเหมือนว่าเธอได้พัฒนาตัวเองขึ้นมาจนถึงจุดที่ไร้เทียมทานและคู่ควรอย่างมากแล้วที่จะได้เหรียญทองโอลิมปิกสมดังที่เธอฝันเสียที และถ้าหากว่าไม่มีปัญหาการแพร่ระบาดมาขวางกั้นและการแข่งขันได้ถูกจัดขึ้นตามกำหนดการเดิมเชื่อว่าฟอร์มของเธอคงจะสดกว่านี้อย่างแน่นอน

แต่ถึงแม้ว่าจะเกิดปัญหาโรคระบาดมากั้นขวางไว้เสียก่อน และทำให้แฟน ๆ กีฬาบ้านเราอดเป็นห่วงไม่ได้เรื่องความต่อเนื่องของการแข่งขันที่อาจจะทำให้ฟอร์มเก่งช่วงปี 2019 ของเธอมีอันต้องสะดุดไป แต่ทางเจ้าตัวก็ได้ออกมาบอกแล้วว่าความพร้อมของเธอตอนนี้เรียกได้ว่าเต็มร้อยทั้งในเรื่องสภาพจิตใจรวมไปถึงการรักษาความฟิตของร่างกาย เพราะสามารถกลับมาทำการฝึกซ้อมได้นานพอสมควรแล้ว ซึ่งดูแล้วอาจจะถือว่าเป็นข่าวดีด้วยซ้ำที่การแพร่ระบาดของเชื้อในประเทศเราสามารถควบคุมได้เร็วกว่าในหลาย ๆ ประเทศทำให้เธอสามารถกลับมาทำการฝึกซ้อมได้เร็วกว่านักกีฬาในหลาย ๆ ประเทศ ที่มีการแพร่ระบาดหนักกว่า เพราะฉะนั้นในส่วนนี้จึงเชื่อว่าจะไม่ทำให้ฟอร์มอันร้อนแรงของเธอหลุดไปอย่างที่หลายคนเป็นกังวล

การแข่งขันโอลิมปิกในครั้งนี้ถือเป็นการเข้าร่วมการแข่งขันในมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติเป็นสมัยที่สองติดต่อกันแล้ว โดยครั้งแรกในการแข่งขันที่ประเทศบราซิลนั้นถึงแม้ว่าเธอจะผิดหวังไปไม่ถึงตำแหน่งเหรียญทองแต่ก็ยังมีเหรียญทองแดงติดไม้ติดมือมากฝากคนไทยได้ และความผิดหวังในครั้งนั้นอาจจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เธอมุ่งมั่นและพัฒนาตัวเองมากขึ้นจนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นมือหนึ่งของโลกด้วยฟอร์มไร้พ่ายอย่างเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ในชีวิตการเป็นนักกีฬาของ พานิภัค วงศ์พัฒนกิจ นั้นเธอกวาดรางวัลต่าง ๆ มาครองได้อย่างมากมายแบบสาธยายกันยืดยาวเลยทีเดียว เพราะเธอสามารถคว้าแชมป์รายการต่าง ๆ ได้มากถึง 27 รายการ กับอีกหนึ่งเหรียญทองแดงโอลิมปิก เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่จะเติมเต็มชีวิตนักกีฬาของเธอให้สมบูรณ์แบบได้ก็คงจะมีเพียงแค่เหรียญทองโอลิมปิกเท่านั้น และก็เชื่อว่าคงไม่มีช่วงเวลาไหนเหมาะสมที่เธอจะทำมันให้สำเร็จมากไปกว่านี้อีกแล้ว

เรียกได้ว่าทำเอาแฟนหมัดมวย และเหล่าเซียนพนันมวยตัวยงของบ้านเราใจหายใจคว่ำกันเลยทีเดียว สำหรับการชกในรอบคัดเลือกโอลิมปิก ประเภทกีฬามวยสากลสมัครเล่น รุ่น 57 กิโลกรัมชาย ที่ทัพนักชกไทยเราส่งนักกีฬาจอมเก๋าอย่าง “เจ้าสด” ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี ลงทำการแข่งขันในครั้งนี้ เนื่องจากเจ้าตัวไปพลาดท่าถูกนักชกจากเวียดนามน็อคไปในการแข่งขันรอบที่สองเท่านั้น แต่ก็ยังดีที่สามารถอาศัยลูกเก๋าคว้าตั๋วสู่โตเกียวมาครองได้สำเร็จ แบบชนิดที่เล่นเอาลุ้นกันจนหืดขึ้นคอกัน คุมตั๋วพนันทั้งประเทศเลยทีเดียว

สำหรับฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี หรือที่มีชื่อเดิมว่า ฉัตร์ชัย บุตรดี นั้นเป็นชื่อที่ติดหูแฟนกีฬาหมัดมวยในบ้านเรากันมาอย่างยาวนานเลยทีเดียว เพราะเขาคือนักชกที่สวมยูนิฟอร์มติดธงลงรับใช้ชาติมาแล้วมากกว่าสิบปีด้วยกัน และก็เป็นหนึ่งในนักชกฝีมือดีที่สามารถคว้าเหรียญรางวัลต่าง ๆ มาครองได้อย่างมากมายไม่ว่าจะเป็น 4 เหรียญทองกับอีก 1 เหรียญเงินจากการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ 1 เหรียญทองชิงแชมป์เอเชีย และอีกหนึ่งเหรียญทองแดงชิงแชมป์โลก ซึ่งจะเห็นว่าเมื่อดูแล้วเหรียญรางวัลรายการต่าง ๆ บนเส้นทางนักชกเขาล้วนแล้วแต่เคยได้สัมผัสมาแล้วทั้งสิ้น เหลือเพียงแค่เหรียญรางวัลจากการแข่งขันโอลิมปิกเท่านั้นเองที่เขายังไม่สามารถคว้ามาครองได้เสียที

และในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้ ก็ถือเป็นการเข้าร่วมทำการแข่งขันเป็นสมัยที่สามติดต่อกันแล้วสำหรับเจ้าตัว ซึ่งผลงานจากทั้งสองครั้งที่ผ่านมาของเจ้าสดนั้น จบลงที่การตกรอบสิบหกคนสุดท้ายทั้งสองครั้ง และในครั้งนี้เจ้าตัวหวังอย่างมากว่าจะสามารถก้าวขึ้นไปหยิบเหรียญรางวัลจากโอลิมปิกเหรียญใดเหรียญหนึ่งมาครองให้สำเร็จให้จงได้ นั่นก็เพราะว่าในการแข่งขันโอลิมปิกครั้งนี้นั้นตัวของเจ้าสดเองก็มีอายุถึง 36 ปีแล้ว มันจึงเท่ากับว่าเป็นโอลิมปิกครั้งสุดท้ายแล้วของตัวเขา เพราะถ้าจะรอจนถึงครั้งหน้าตัวเขาก็คงมีอายุแตะหลักสี่เข้าไปแล้วและเมื่อถึงวันนั้นร่างกายของ “เจ้าสด” ก็คงจะไม่สดซักเท่าไหร่นัก ดังนั้นถ้าจะทำความฝันให้สำเร็จก็คงจะต้องทำให้ได้ในครั้งนี้ที่โตเกียวนี่แหละ

ด้วยอายุอานามของฉัตร์ชัยเดชา บุตรดีในขณะนี้แน่นอนแหละว่าความปราดเปรียวว่องไวของเขาคงจะต้องลดน้อยลงไปบ้างเป็นธรรมดา แต่สิ่งที่เข้ามาช่วยทดแทนในส่วนนี้ได้เป็นอย่างดีก็คือลูกฝีมือ และประสบการณ์ที่อยู่มากเลยทีเดียวซึ่งเมื่อนำมาบวกกับความมุ่งมั่นที่จะคว้าเหรียญรางวัลโอลิมปิกมาครองให้ได้ก่อนที่จะวางมือแขวนนวมจากวงการ ก็เชื่อว่าในการขึ้นชกโอลิมปิกที่กรุงโตเกียวนี้ เจ้าสดจะทำให้หมัดมวยเช้าไทยได้ลุ้นกันแบบยาว ๆ อย่างแน่นอน

ในการแข่งขันมหกรรมกีฬาที่ได้ชื่อว่าเป็นมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาตินั้น กีฬามวยสากลสมัครเล่นถือเป็นหนึ่งในชนิดกีฬาที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับนักกีฬาและแฟนกีฬาชาวไทยมาอย่างยาวนาน แถมยังสร้างเม็ดเงินในโต๊ะพนันต่าง ๆ ได้อย่างดี เพราะกีฬาชนิดเป็นกีฬาที่นักกีฬาไทยมักจะทำได้ดีและมีเหรียญรางวัลจากโอลิมปิกมาฝากแฟนชาวไทยได้เสมอ และในโอลิมปิก 2020 ที่กำลังจะจัดขึ้นในช่วงกลางปีหน้านั้นกีฬามวยสากลสมัครเล่นก็ยังคงตั้งเป้าจะคว้าเหรียญมาฝากแฟน ๆ ให้ได้อีกเช่นเคย

และเรื่องที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของทัพเสื้อกล้ามไทยในโอลิมปิกครั้งนี้ก็คือ ฟอร์มการชกของนักชกดาวรุ่งวัยเพียง 20 ปี อย่าง “เจ้าเหลิม” ธิติสรรค์ ปั้นโหมด ที่สามารถคว้าตั๋วโอลิมปิกสมัยแรกในชีวิตของเขามาได้สำเร็จแบบเหนือความคาดหมาย สร้างความเซอร์ไพรส์ชุดใหญ่ให้เซียนพนันเลย ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีนั้นหลาย ๆ ฝ่ายยังไม่ได้คาดหวังโควตาโอลิมปิกจากเจ้าเหลิมมากนัก ด้วยความที่เจ้าตัวพึ่งจะมีอายุเพียงแค่ 19 ปีเท่านั้นในขณะที่ขึ้นชกรอบคัดเลือกซึ่งเต็มไปด้วยนักชกที่มีฝีมือและประสบการณ์มากมายขวางอยู่ และหวังจะให้เจ้าตัวเก็บเกี่ยวประสบการณ์บนสังเวียนใหญ่เสียมากกว่า เพราะด้วยความที่อายุยังน้อยจะรอโอลิมปิกครั้งหน้าก็ยังไม่สาย แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้แหละที่สามารถทำผลงานได้ดีที่สุดในรอบคัดเลือกโอลิมปิกของทัพนักชกทีมชาติไทย โดยที่เขาสามารถผ่านเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะได้เพียงแค่รองแชมป์แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เขาคว้าตั๋วอันทรงเกียรตินี้มาได้อย่างน่าภาคภูมิใจ เพราะนักชกคู่แข่งที่เขาเอาชนะได้ในรอบรองชนะเลิศนั้นคือ ชาโคบิห์ดิน ชอยรอฟ ซึ่งเป็นถึงนักมวยเหรียญทองโอลิมปิกเมื่อปี 2016 มันยิ่งเป็นการการันตีได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้ฝีมือไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

ธิติสรรค์ ปั้นโหมด เป็นนักมวยผลผลิตจากโรงเรียนกีฬาจังหวัดพิษณุโลก โดยเขาเริ่มต่อยมวยมาตั้งแต่วัยเพียงแค่ 8 ขวบเท่านั้นเอง ซึ่งก็ต่อย ๆ หยุด ๆ อยู่ในช่วงแรก ก่อนจะกลับมาต่อยอีกครั้งโดยมีแรงบันดาลใจในขณะนั้นเพราะว่าถูกเพื่อนแกล้ง ซึ่งมันกลายเป็นแรงผลักดันที่ส่งให้เขาก้าวเข้าสู่เส้นทางนี้อย่างจริงจังจนได้เข้าเรียนที่โรงเรียนกีฬา และเมื่อได้เข้าสู่รั้วโรงเรียนกีฬาได้เรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นแววในตัวของเจ้าเหลิมก็ยิ่งฉายออกมาให้เห็นชัดมากขึ้น โดยการกวาดแชมป์ภายในประเทศในระดับเยาวชนมาอย่างมากมาย และในที่สุดความฝันที่จะได้ไปโอลิมปิกของเขาก็เป็นจริง

“เจ้าเหลิม” ธิติสรรค์ ปั้นโหมด นับว่าเป็นนักมวยที่อายุยังน้อยมากที่สามารถพาตัวเองขึ้นไปสู่เวทีระดับโอลิมปิกได้ และในเรื่องฝีไม้ลายมือรวมไปถึงหัวจิตหัวใจของนักมวยดาวรุ่งคนนี้ถือว่ามีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าในด้านเกียรติประวัติแล้วเขาจะมีชื่อเป็นแชมป์รายการสำคัญ ๆ เพียงแค่แชมป์เยาวชนโลก แต่มันก็ไม่แน่ว่าการบันทึกเกียรติประวัติครั้งต่อไปของเขาอาจจะเป็นเหรียญทองโอลิมปิกเลยก็ได้