ถือว่ายังคงร้อนแรงต่อเนื่องสำหรับฟอร์มการเล่นของ “เดอะ แร็บบิท” บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ทีมน้องใหม่แห่งไทยลีก ที่นำทัพโดยโค้ชโอ่ง ดุสิต เฉลิมแสน ที่สลัดคราบน้องใหม่ที่พึ่งเลื่อนชั้นกลายมาเป็นผู้นำฝูงอย่างเหนียวแน่น ด้วยฟอร์มการเล่นระดับที่เรียกได้ว่าเป็นจ่าฝูงไร้พ่ายเลยทีเดียว โดยเฉพาะการที่พวกเขาสามารถบุกไปเก็บสามแต้มเต็มได้จากทีมแกร่งแห่งแดนล้านนา อย่าง “กว่างโซ้งมหาภัย” สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ดได้สำเร็จ ทำเอานักพนันข้างทีมแชมป์เก่าเซ็งกันเป็นแถว ๆ

หลังจากที่ฤดูกาลใหม่เริ่มต้นมาได้ถึง 11 นัด มันได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาไม่ได้มาแบบฟลุค ๆ เพราะอีกเพียงไม่กี่นัดก็จะถึงครึ่งฤดูกาลแล้ว ซึ่งพวกเขายังคงลอยลมบนอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูงด้วยผลงาน ชนะ 9 เสมอ 2 ยิงไปได้ 18 ประตูทิ้งห่างอันดับที่สองคือเชียงรายอยู่ถึง 6 แต้มในขณะที่ลงเล่นน้อยกว่าหนึ่งนัดอีกด้วย

โดยแนวทางการทำทีมของโค้ชโอ่งก็คือการเริ่มสร้างรากฐานมาจากเกมรับอันแข็งแกร่ง เริ่มจากสามเซ็นเตอร์ต่างชาติที่ล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งยังกะหินผาไม่ว่าจะเป็นวิคเตอร์ คาร์โดโซ่, ไอร์ฟาน ฟานดี้ และอันเดรส ตูเญซ ซึ่งนอกจากที่พวกเขาจะเป็นฝันร้ายของบรรดากองหน้าฝั่งตรงข้ามแล้ว พวกเขายังมีจุดเด่นในการทำประตูอีกด้วย ซึ่งเมื่อนำประตูของทั้งสามคนมารวมกันพวกเขาทำไปถึง 9 ประตูเลยทีเดียว นี่คือผลงานทำเงินให้เหล่าเซียนพนันกันถ้วนหน้า

ส่วนในแผงกองกลางโค้ชโอ่งใช้แกนหลักเป็นสองกองกลางทีมชาติไทยอย่าง สารัช อยู่เย็น และฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ และสุมัญญา ปุริสายซึ่งก็สามารถเล่นร่วมกันได้อย่างลงตัวซึ่งทำให้แผงกองกลางเหนียวแน่นมาก รวมไปถึงขับเคลื่อนเกมรุกให้กับทีมได้อย่างไหลลื่นอีกด้วย ส่วนในแนวรุกก็ยังมีเจนรบ สำเภาดี, โตติ, มารุโอกะ, รวมไปถึงศิโรจน์ ฉัตรทองให้ใช้งานอีกด้วย

เมื่อดูจากผลงานโดยรวมของทีมบีจี ปทุม ชุดนี้แล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีผลงานที่แข็งแกร่งชนิดไม่แพ้ใครและชนะไปถึง 9 นัด แต่ก็ยังดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังคงมีปัญหาอยู่ที่การจบสกอร์โดยเฉพาะตำแหน่งกองหน้าผู้รับหน้าที่นี้โดยตรงจะยังฝืดไปหน่อย ทำให้ต้องพึ่งพาการทำประตูจากกองหลังจอมโหดมากเกินไป ซึ่งจุดนี้ทางโค้ชโอ่งเองก็ดูจะเป็นกังวลอยู่เช่นกัน แต่ก็มีข่าวแว่วมาว่าพวกเขาเตรียมแผนใหญ่อย่างการดึงตัวธีรศิลป์กลับมาจากญี่ปุ่นอีกด้วย ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริงในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังแล้วละก็ วกเข้าจะโหดขึ้นกว่าที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน

การที่พวกเขามาถึงจุดนี้ได้นอกจากพลังสมองของโค้ชอย่างดุสิต เฉลิมแสน และความสามารถของผู้เล่นในทีมแล้วส่วนหนึ่งมันก็มาจากบรรดาผู้ที่สนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังอย่างแฟนบอล และที่สำคัญก็คือบอร์ดบริหารที่เอาจริงเอาจังชนิดทุ่มทุนสร้างอย่างยิ่งใหญ่นี่แหละ และสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้อาจจะนำพาให้พวกเขาสามารถก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งแชมป์ได้สำเร็จหลังจากที่พึ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาเพียงแค่ปีเดียว แถมอาจจะกลายเป็นแชมป์ชนิดไร้พ่ายไปเลยก็ได้

ตลอดช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาของวงการฟุตบอลไทยคงจะไม่มีใครกล้าปฎิเสธถึงความยิ่งใหญ่ของสโมสร “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” หรือที่รู้จักกันในฉายา “ปราสาทสายฟ้า” ที่เดินหน้ากวาดถ้วยแชมป์มาแล้วอย่างมากมาย แต่ต้องบอกว่ากว่าที่สโมสรทีมนี้จะมาถึงจุดนี้ได้ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงมาแล้วอย่างมากมายนับไม่ถ้วน จุดเริ่มต้นนับตั้งแต่ที่ คุณเนวิน ชิดชอบ เจ้าของและประธานสโมสรของทีมในปัจจุบันตัดสินใจซื้อทีมฟุตบอลสโมสร “การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค” อดีตทีมเก่าแก่ของประเทศไทยในปี พ.ศ.2552 และปีต่อมาจากนั้นก็ได้ทำการเปลี่ยนชื่อของสโมสรเป็น บุรีรัมย์ พีอีเอ ตามด้วยการย้ายถิ่นฐานของทีมจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาสู่จังหวัดบุรีรัมย์ในถิ่นภาคอีสานจนสุดท้ายมาลงตัวในนามของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่เรารู้จักกัน จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้แล้วก็นับได้เป็นเวลา 10 ปีที่ทีมทีมนี้พัฒนาสู่แถวหน้าทั้งในประเทศและทวีปเอเชีย รวมถึงมีนักเตะชั้นเยี่ยมมาค้าแข้งด้วยอย่างมากมาย

ถ้วยแชมป์ที่เพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปีของปราสาทสายฟ้า

การจะกลายเป็นสโมสรชั้นนำของประเทศได้นั้นสิ่งที่จะต้องทำให้ได้คือการคว้าแชมป์ให้ได้และคุณสมบัติที่กล่าวมานี้นั้นทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็สามารถทำได้บ่อยครั้ง โดยเพียงฤดูกาลแรกในปี พ.ศ.2554-2555 ที่ได้ทำการใช้ชื่อทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ ในการลงแข่งพวกเขาก็สามารถกวาดไปได้ทั้ง 3 แชมป์ภายในประเทศ เริ่มต้นจากการคว้าแชมป์ไทยลีกก่อนจบฤดูกาลได้ก่อนถึง 4 นัด เก็บไปได้ทั้งสิ้น 85 แต้ม ยิงไปได้ถึง 49 ประตู ตามมาด้วยการคว้าแชมป์บอลถ้วยรายการเอฟเอคัพ จากการเฉือนเอาชนะ “กิเลนผยอง” เมืองทอง ยูไนเต็ด ไปได้ 1-0 จากประตูชัยของ แฟรงค์ อาเชียมปง มิดฟิลด์ตัวเก่งของทีมในเวลานั้น ก่อนสุดท้ายจะมาปิดฤดูกาลในการแข่งขันฟุตบอลรายการโตโยต้า ลีกคัพ ซึ่งบุรีรัมย์ยังคงโชว์ฟอร์มไร้เทียมทานหลังเอาชนะ “สิงห์เจ้าท่า” การท่าเรือ เอฟซี ไปได้ 2-0 เรียกได้ว่าเป็นการประกาศให้หลาย ๆ ทีมโดยเฉพาะเมืองทอง ยูไนเต็ด ที่เป็นคู่แข่งสำคัญ ว่าต่อจากนี้พวกเขาพร้อมแล้วที่จะกระชากแชมป์ในทุก ๆ ปีมาไว้ที่บ้านของพวกเขา

นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 เป็นต้นมาถ้วยแชมป์ที่ปราสาทสายฟ้ากวาดมาได้ มีตั้งแต่การคว้าแชมป์ลีกไปทั้งสิ้น 6 สมัย เอฟเอคัพ 4 สมัย และ ถ้วยลีกคัพอีก 5 สมัย กลายเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ของวงการลูกหนังไทยโดยความสำเร็จเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากชายที่ชื่อ “เนวิน ชิดชอบ” ประธานสโมสรที่ลงทุนลงแรงไปกับสโมสรอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นการดึงนักเตะชื่อดังมากมายทั้งไทยและต่างชาติ อาทิเช่น ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต, อันเดรส ตูเญซ, สุเชาว์ นุชนุ่ม,จักรพันธ์ แก้ว พรม รวมถึงการพัฒนาในส่วนของทีมนักเตะเยาวชนให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

 ก้าวสู่ความยิ่งใหญ่แห่งทวีปเอเชีย

สิ่งหนึ่งที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยังขาดอยู่นั้นคือการคว้าแชมป์ในระดับทวีป ซึ่งพวกเขาเคยทำไว้ดีที่สุดคือเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งการที่พวกเขาพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้งในตลอดหลายปีจะทำให้พวกเขาก้าวออกจากประเทศไปสู่การเป็นแชมป์ระดับเอเชียได้ในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัยแม้จะต้องเจอกระดูกชิ้นโตหลายต่อหลายทีมขวางทางพวกเขาไว้ก็ตามที

สำหรับวงการฟุตบอลลีกของประเทศไทยเราในตอนนี้ ต้องบอกว่ามีการพัฒนาไปอย่างมากในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นตัวของผู้จัดการแข่งขัน กองเชียร์ และตัวของสโมสรเอง แต่ระดับการแข่งขันในช่วงหลายขวบปีที่ผ่านมานั้นช่างมีทีมที่สามารถพัฒนามาสู่การเป็นแชมป์ได้เพียงไม่กี่ทีมเท่านั้น เช่น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ดและเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ถึงแม้การแข่งขันจะมีมาตรฐานที่สูงขึ้นเพียงใด แต่สุดท้ายแล้วก็มักจะลงเอยด้วยชื่อของ 2 ทีมนี้อยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะทั้งฟุตบอลบอลลีกหรือฟุตบอลถ้วย แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ได้ปรากฏชื่อของทีมฟุตบอลทีมหนึ่งจากแดนล้านนาที่ขึ้นมาเขย่าบัลลังก์วงการลูกหนังเมืองไทย ให้ได้รู้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้งทีมทีมนั้นมีชื่อว่า “สิงห์เชียงราย ยูไนเต็ด”

กว่างโซ้งไม่กลัวใคร

หากจะก้าวขึ้นมาเป็นทีมชั้นนำของประเทศให้ได้แล้ว การที่จะต้องเผชิญหน้ากับทุกทีมแล้วฝ่าฟันไปให้ได้คงไม่ใช่เรื่องแปลก หลังทีมสิงห์เชียงราย ยูไนเต็ด หรือเจ้าของฉายา “กว่างโซ้ง” สามารถพัฒนยกระดับทีมให้ก้าวมาอยู่ในแถวหน้าของวงการฟุตบอลไทย อย่างที่ได้เห็นเมื่อฤดูกาล 2018 ที่พวกเขาสามารถคว้าแชมป์บอลถ้วยในประเทศได้ครบหมดอย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะทั้งศึกฟุตบอลรายการไทยแลนด์แชมเปี้ยนส์คัพ โตโยต้า ลีกคัพ และฟุตบอลรายการเอฟเอ คัพ ที่เป็นแชมป์ติดต่อกันถึงสองสมัย ในปี 2017-2018 หักปากการเซียนทุกชนิด เพราะขวบปีหลังสุดบอลถ้วยที่พวกเขาเข้าชิงต่างเจอยักษ์ใหญ่ของวงการลูกหนังไทยทั้ง บีจี ปทุมธานี ยูไนเต็ด แบงค์ค็อก ยูไนเต็ด รวมถึงทีมระดับท็อปของประเทศไทยนั่นคือ “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่หากใครพูดถึงก็คงจะอดคิดไม่ได้ว่าทีมจากแดนล้านนาทีมนี้จะสามารถต่อกรกับทีมที่ว่ามาเหล่านี้ได้อย่างไร แต่ต้องบอกเลยว่าสิงห์เชียงราย ยูไนเต็ด มีการวางรากฐานทีมที่ดีมากในการพัฒนาทำทีม โดยเคยมีอดีตประธานอย่าง “บิ๊กฮั่น” มิตติ ติยะไพรัช เป็นประธานสโมสรที่อยู่กับทีมมาอย่างยาวนาน มีส่วนช่วยให้ทีมทีมนี้ที่อดีตเป็นเพียงทีมจังหวัดสามารถพัมนามาได้ถึงเพียงนี้

แต่ปัจจุบันในฤดูกาล2019 “บิ๊กฮั่น” มิติ ติยะไพรัช ได้ส่งไม้ต่อในตำแหน่งประธานสโมสรให้แก่ “มาดามฮาย” ปวิศรัฐฐ์ ติยะไพรัช เป็นผู้ทำทีมต่อ ซึ่งความรักที่มีต่อทีมของทั้งสองไม่แตกต่างกันเลย เห็นได้จากการที่แฟนบอลทีมนั้นต่างให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ซึ่งเหล่านักเตะก็ยังเป็นแกนหลักหน้าเดิม ๆ ที่กวาดแชมป์บอลถ้วยมาได้ 2 ปี ติดต่อกัน อาทิเช่น บิล โรซิม่า, ชินภัทร ลีเอาะ, ศิวกรณ์ เตียตระกูล, พิธิวัตร สุขจิตร ธรรมกุล, ธนะศักดิ์ ศรีใส ซึ่งผุ้เล่นชุดนี้แทบจะพัฒนามาด้วยกันอย่างต่อเนื่องจึงไม่แปลกที่จะรู้ใจกันเป็นอย่างดี

มุ่งสู่แชมป์ไทยลีก

ในฤดูกาล 2019 ที่กำลังขับเขี้ยวกันอยู่นี้ต้องบอกว่าสุสีเป้นอย่างมากระหว่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กับ สิงห์เชียงราย ยุไนเต็ด สุดท้ายต้องมาลุ้นกันว่าทีมจากแดนล้านนาทีมนี้จะสร้างประวัติศาสตร์ของสโมสรได้อีกครั้งหรือใหม่ซึ่งดูแล้วโอกาสยังช่างสดใสเหลือเกิน สำหรับนักพนันแล้วกรณีแบบนี้หลายคนอาจจะต้องกุมขมับ เพราะหากเดิมพันการได้แชมป์เอาไว้ อาจจะไม่ใช่ทีมหน้าเดิม ๆ เหมือนที่หยอดเงินไว้ตอนต้นฤดูกาลแล้ว ทว่าระหว่างการแข่งขันแต่ละทีม หากอยู่ข้างทีมเหล่านี้โอกาสที่จะเก็บแต้ม ตอดเงินมาได้ก็มีมากขึ้นเหมือนกัน