เชื่อว่าใครต่อใครที่เล่นกีฬาฟุตบอลต่างก็มีความฝันที่จะกลายเป็นนักเตะอาชีพ แต่จะมีซักกี่คนที่ได้ก้าวไปอยู่ในจุดนั้นได้จริง ๆ หรือถึงแม้จะไปถึงได้ก็เสียเวลาไปหลายสิบปี แต่เราอยากจะแนะนำเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีอายุเพียง 17 ปี ผู้กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นทีมชุดใหญ่ของสโมสรอันดับหนึ่งของประเทศไทยอย่างทีม “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทำไมยอดทีมระดับนี้ถึงได้ไว้วางใจให้เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมาเป็นกำลังหลักของทีม เพื่อคลายความสงสัยเราจะพาคุณผู้อ่านไปทำความรู้จักเด็กหนุ่มคนนี้ให้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่แน่ว่าหลังอ่านบทความนี้จนจบท่านจะกลายเป็นแฟนคลับของเขาในอนาคตก็เป็นได้

ชีวิตและภาระที่ต้องแบกของเด็กหนุ่มผู้ตามหาความฝัน

ศุภณัฐ เหมือนตา หรือ “แบงค์” เกิดเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2545 ปัจจุบันอายุ 17 ปี ภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดศรีสะเกษ เพียงอายุย่างเข้าขวบปีที่ 4 เขาก็ได้รู้จักกีฬาลูกหนังที่ชื่อว่าฟุตบอล กีฬาที่จะทำให้ชีวิตของเขาพลิกผันไปสู่เรื่องราวบทใหม่ในอนาคต ท่ามกลางครอบครัวเกษตรกรรมที่เป็นอาชีพหลักของชาวภาคอีสานหลายท่าน แบงค์ได้หันมาสนใจการเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังโดยมี “เช็ค” สุภโชค สารชาติ พี่ชายต่างพ่อเป็นคนชี้นำเส้นทางเริ่มจากการเป็นนักกีฬาฟุตบอลตัวหลักให้กับโรงเรียนหัวเสือ จังหวัดศรีสะเกษ โดยเขาเริ่มเล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าคู่กับพี่ชายของตัวเอง วันเวลาล่วงเลยผ่านไป เช็คผู้เป็นพี่ได้ทำตามความฝันของตัวเองได้สำเร็จหลังสามารถคัดตัวผ่านเข้าสู่อะคาเดมี่ของ “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยักษ์ใหญ่ไทยลีก ขณะนั้นแบงค์ก็ยังคงเป็นนักบอลเดินสายเตะตามทัวนาเมนต์ฟุตบอลต่าง ๆ อยู่ เมื่อเห็นผู้เป็นพี่ก้าวไปสู่ขั้นที่เรียกว่าเป็นนักฟุตบอลอาชีพได้อย่างเต็มตัว ก็เหมือนเป็นการปลุกไฟในตัว

เมื่ออายุ12ปีบริบูรณ์แบงค์จึงไม่รอช้าเก็บกระเป๋าพร้อมรองเท้าสตั๊ดอาวุธคู่กายมุ่งสู่จังหวัดบุรีรัมย์ ที่โรงเรียนภัทรบพิตร บุรีรัมย์ โรงเรียนที่เป็นอะคาเดมี่ของทีมปราสาทสายฟ้า ท่ามกลางการสนับสนุนอย่างเต็มที่ของครอบครัว ขึ้นชื่อว่าเป็นทีมชั้นนำของไทยลีกก็คงจะไม่พลาดคว้าเพชรเม็ดงามนี้ไว้ในมือ ใช่แล้วเด็กหนุ่มคนนนี้ทำได้สำเร็จแต่ชีวิตที่ต้องห่างไกลบ้านพร้อมแบกความหวังไว้ช่างไม่ง่ายเลย แต่เพราะความรักในฟุตบอลเด็กหนุ่มคนนี้ก้มหน้าก้มตาไล่ล่าความฝันอย่างไม่ลดละ จนผลของความพยายามตอบแทนด้วยการก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดและประเดิมสนามเกมไทยลีกครั้งแรกด้วยวัยเพียง 15 ปี 11 เดือนกับอีก 5 วัน ในเกมพบกับนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี ซึ่งถือเป็นสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นในเกมไทยลีก และยังสามารถพังประตูแรกในเกมเอาชนะแอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล เอฟซี ในฤดูกาลเดียวกัน ก่อนที่ต่อมาจะกลายเป็นกำลังหลักให้กับทีมพร้อมสุภโชค สารชาติ พี่ชายแท้ ๆ ของเขาได้สำเร็จ

เชื่อมั่นในตัวเองและลงมือทำ

หากเราเจอความฝันของตัวเองแล้ว การเชื่อมั่นและลงมือทำเหมือนที่ ศุภณัฐ เหมือนตา แสดงให้เห็นว่าอายุไม่ใช่สิ่งที่จำกัดเราได้ ซึ่งผลก็ตามที่เราได้เห็นว่าเขาพร้อมแล้วที่จะก้าวขึ้นมาสู่การเป็นนักฟุตบอลชื่อดัง รวมถึงกำลังหลักของทีมชาติได้ในอนาคต หวังว่าเราจะได้เห็นหนุ่มน้อยคนนี้โด่งดังและพาทีมชาติประสบความสำเร็จได้ในอนาคตอันใกล้นี้

ตลอดช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาของวงการฟุตบอลไทยคงจะไม่มีใครกล้าปฎิเสธถึงความยิ่งใหญ่ของสโมสร “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” หรือที่รู้จักกันในฉายา “ปราสาทสายฟ้า” ที่เดินหน้ากวาดถ้วยแชมป์มาแล้วอย่างมากมาย แต่ต้องบอกว่ากว่าที่สโมสรทีมนี้จะมาถึงจุดนี้ได้ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงมาแล้วอย่างมากมายนับไม่ถ้วน จุดเริ่มต้นนับตั้งแต่ที่ คุณเนวิน ชิดชอบ เจ้าของและประธานสโมสรของทีมในปัจจุบันตัดสินใจซื้อทีมฟุตบอลสโมสร “การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค” อดีตทีมเก่าแก่ของประเทศไทยในปี พ.ศ.2552 และปีต่อมาจากนั้นก็ได้ทำการเปลี่ยนชื่อของสโมสรเป็น บุรีรัมย์ พีอีเอ ตามด้วยการย้ายถิ่นฐานของทีมจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาสู่จังหวัดบุรีรัมย์ในถิ่นภาคอีสานจนสุดท้ายมาลงตัวในนามของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่เรารู้จักกัน จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้แล้วก็นับได้เป็นเวลา 10 ปีที่ทีมทีมนี้พัฒนาสู่แถวหน้าทั้งในประเทศและทวีปเอเชีย รวมถึงมีนักเตะชั้นเยี่ยมมาค้าแข้งด้วยอย่างมากมาย

ถ้วยแชมป์ที่เพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปีของปราสาทสายฟ้า

การจะกลายเป็นสโมสรชั้นนำของประเทศได้นั้นสิ่งที่จะต้องทำให้ได้คือการคว้าแชมป์ให้ได้และคุณสมบัติที่กล่าวมานี้นั้นทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็สามารถทำได้บ่อยครั้ง โดยเพียงฤดูกาลแรกในปี พ.ศ.2554-2555 ที่ได้ทำการใช้ชื่อทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ ในการลงแข่งพวกเขาก็สามารถกวาดไปได้ทั้ง 3 แชมป์ภายในประเทศ เริ่มต้นจากการคว้าแชมป์ไทยลีกก่อนจบฤดูกาลได้ก่อนถึง 4 นัด เก็บไปได้ทั้งสิ้น 85 แต้ม ยิงไปได้ถึง 49 ประตู ตามมาด้วยการคว้าแชมป์บอลถ้วยรายการเอฟเอคัพ จากการเฉือนเอาชนะ “กิเลนผยอง” เมืองทอง ยูไนเต็ด ไปได้ 1-0 จากประตูชัยของ แฟรงค์ อาเชียมปง มิดฟิลด์ตัวเก่งของทีมในเวลานั้น ก่อนสุดท้ายจะมาปิดฤดูกาลในการแข่งขันฟุตบอลรายการโตโยต้า ลีกคัพ ซึ่งบุรีรัมย์ยังคงโชว์ฟอร์มไร้เทียมทานหลังเอาชนะ “สิงห์เจ้าท่า” การท่าเรือ เอฟซี ไปได้ 2-0 เรียกได้ว่าเป็นการประกาศให้หลาย ๆ ทีมโดยเฉพาะเมืองทอง ยูไนเต็ด ที่เป็นคู่แข่งสำคัญ ว่าต่อจากนี้พวกเขาพร้อมแล้วที่จะกระชากแชมป์ในทุก ๆ ปีมาไว้ที่บ้านของพวกเขา

นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 เป็นต้นมาถ้วยแชมป์ที่ปราสาทสายฟ้ากวาดมาได้ มีตั้งแต่การคว้าแชมป์ลีกไปทั้งสิ้น 6 สมัย เอฟเอคัพ 4 สมัย และ ถ้วยลีกคัพอีก 5 สมัย กลายเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ของวงการลูกหนังไทยโดยความสำเร็จเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากชายที่ชื่อ “เนวิน ชิดชอบ” ประธานสโมสรที่ลงทุนลงแรงไปกับสโมสรอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นการดึงนักเตะชื่อดังมากมายทั้งไทยและต่างชาติ อาทิเช่น ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต, อันเดรส ตูเญซ, สุเชาว์ นุชนุ่ม,จักรพันธ์ แก้ว พรม รวมถึงการพัฒนาในส่วนของทีมนักเตะเยาวชนให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

 ก้าวสู่ความยิ่งใหญ่แห่งทวีปเอเชีย

สิ่งหนึ่งที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยังขาดอยู่นั้นคือการคว้าแชมป์ในระดับทวีป ซึ่งพวกเขาเคยทำไว้ดีที่สุดคือเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งการที่พวกเขาพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้งในตลอดหลายปีจะทำให้พวกเขาก้าวออกจากประเทศไปสู่การเป็นแชมป์ระดับเอเชียได้ในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัยแม้จะต้องเจอกระดูกชิ้นโตหลายต่อหลายทีมขวางทางพวกเขาไว้ก็ตามที