เมื่อพูดถึงสโมสรฟุตบอลอาชีพในไทยพรีเมียร์ลีกที่เป็นทีมประจำจังหวัด ก็จะมีหลายทีม อาทิเช่น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, เชียงรายยูไนเต็ด, เชียงใหม่ เอฟซี, พีที ประจวบ, ชลบุรี เอฟซี, สุพรรณบุรี เอฟซี, นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี, รายบุรี มิตรผล เอฟซี เป็นต้น ซึ่งก็มีทีมที่ประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก แล้ว 2 ทีม คือบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดและล่าสุด เชียงราย ยูไนเต็ด ซึ่งถือเป็นความสำเร็จของทีมประจำจังหวัด สร้างความภูมิใจให้แฟนบอลในจังหวัดของตัวเอง ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารทีมแบบมืออาชีพจริง ๆ

จะเห็นได้ว่าสโมสรฟุตบอลประจำจังหวัดในไทยพรีเมียร์ลีกล้วนแล้วแต่มีเจ้าของเป็นนักการเมืองประกอบกับมีเจ้าของธุรกิจเป็นหุ้นส่วนซึ่งย่อมทำให้มีเงินลงทุนที่ค่อนข้างหนา ซึ่งประกอบกับบรรดาเจ้าของทีมฟุตบอลเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ชื่นชอบฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ ทำให้ยอมทุ่มเทแรงกายและเม็ดเงินลงทุนกับสโมสนบ้านเกิดของตัวเองจนประสบความสำเร็จได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะทำให้การแข่งขันในฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกมีความคู่คี่สูสี และเกิดความสนุกในการแข่งขัน

สร้างโมเดลไปยังทีมระดับภูมิภาคในลีกล่าง

หากต้องการที่จะพัฒนาวงการฟุตบอลลีกอาชีพไทยให้พัฒนาขึ้นเหมือลีกชั้นนำในต่างประเทศ จำเป็นต้องเร่งสร้างโมเดลลักษณะเดียวกันกับ เชียงราย ยูไนเต็ด และบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของทีมประจำจังหวัดนั้นดีอยู่แล้ว คือแต่ละทีมก็จะมีสนามเหย้าเป็นของตัวเอง มีฐานแฟนบอลเป็นของตนเองอยู่แล้ว เพียงแค่ต้องสร้างความน่าสนใจในทีมเพื่อดึงดูดคนในจังหวัดให้มาเชียร์ทีมประจำจังหวัดของตัวเอง ส่วนที่จะต้องกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงคือ เรื่องของเจ้าของทีมและการบริหารทีม ซึ่งที่ผ่านมาหลายจังหวัดยังมีการบริหารโดย หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น อบจ. หรือ เทศบาลเมือง ซึ่งถือว่าเป็นแนวความคิดที่ผิดมาก ให้คนที่ไม่มีความรักและความรู้ในเรื่องฟุตบอลเข้ามาบริหารสโมสร รวมทั้งผู้บริหารขององค์กรเหล่านี้ ย่อมมีการผลัดเปลี่ยนเข้าออกตามการเลือกตั้ง ทำให้การบริหารงานไม่ต่อเนื่อง บางทีมถึงขั้นไม่มีค่าจ้างจ่ายให้นักเตะจนทีมแทบจะไม่มีนักเตะเหลือ ผู้บริหารสมาคมฟุตบอล รวมทั้งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาควรหาแนวทางในการกระตุ้นตรงจุดนี้เพื่อให้มีคนที่มีทุนทรัพย์และมีความรักในฟุตบอลได้มีโอกาสเข้ามาทำทีมฟุตบอลบ้านเกิดอย่างจริงจังเพื่อประโยชน์ของคนในจังหวัดเอง

นอกจากการพัฒนาความเป็นมืออาชีพในการบริหารสโมสรจะทำให้ลีกอาชีพไทยแข็งแรงแล้ว ยังช่วยพัฒนาเรื่องอื่น ๆ ในจังหวัดได้ดีอีกด้วย เช่น เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในจังหวัด การแข่งขันในเกมเหย้าแต่ละนัดถ้าบริหารแบบดี ๆ ก็จะมีแฟนบอลเข้าชมหลักพัน หรือหลักหมื่นคน เกิดการสร้างงานต่าง ๆ มีการไหลเวียนของเงินในระบบ ทำให้เศรษฐกิจในจังหวัดดีขึ้น รวมทั้งพัฒนาระบบนักเตะเยาวชนภายในจังหวัดไปในตัว นักเตะเยาวชนจะสามารถมองเห็นเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลอาชีพได้ชัดเจนขึ้น ตลอดจนสร้างความรัก ความสามัคคีของคนในจังหวัด เห็นได้ว่าประโยชน์ที่ตามมามากมายมหาศาล ผู้ใหญ่ใจดีทุกท่านเห็นแล้วจะไม่ช่วยกันทำให้สำเร็จได้ยังไง

ตลอดช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาของวงการฟุตบอลไทยคงจะไม่มีใครกล้าปฎิเสธถึงความยิ่งใหญ่ของสโมสร “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” หรือที่รู้จักกันในฉายา “ปราสาทสายฟ้า” ที่เดินหน้ากวาดถ้วยแชมป์มาแล้วอย่างมากมาย แต่ต้องบอกว่ากว่าที่สโมสรทีมนี้จะมาถึงจุดนี้ได้ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงมาแล้วอย่างมากมายนับไม่ถ้วน จุดเริ่มต้นนับตั้งแต่ที่ คุณเนวิน ชิดชอบ เจ้าของและประธานสโมสรของทีมในปัจจุบันตัดสินใจซื้อทีมฟุตบอลสโมสร “การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค” อดีตทีมเก่าแก่ของประเทศไทยในปี พ.ศ.2552 และปีต่อมาจากนั้นก็ได้ทำการเปลี่ยนชื่อของสโมสรเป็น บุรีรัมย์ พีอีเอ ตามด้วยการย้ายถิ่นฐานของทีมจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาสู่จังหวัดบุรีรัมย์ในถิ่นภาคอีสานจนสุดท้ายมาลงตัวในนามของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่เรารู้จักกัน จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้แล้วก็นับได้เป็นเวลา 10 ปีที่ทีมทีมนี้พัฒนาสู่แถวหน้าทั้งในประเทศและทวีปเอเชีย รวมถึงมีนักเตะชั้นเยี่ยมมาค้าแข้งด้วยอย่างมากมาย

ถ้วยแชมป์ที่เพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปีของปราสาทสายฟ้า

การจะกลายเป็นสโมสรชั้นนำของประเทศได้นั้นสิ่งที่จะต้องทำให้ได้คือการคว้าแชมป์ให้ได้และคุณสมบัติที่กล่าวมานี้นั้นทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็สามารถทำได้บ่อยครั้ง โดยเพียงฤดูกาลแรกในปี พ.ศ.2554-2555 ที่ได้ทำการใช้ชื่อทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ ในการลงแข่งพวกเขาก็สามารถกวาดไปได้ทั้ง 3 แชมป์ภายในประเทศ เริ่มต้นจากการคว้าแชมป์ไทยลีกก่อนจบฤดูกาลได้ก่อนถึง 4 นัด เก็บไปได้ทั้งสิ้น 85 แต้ม ยิงไปได้ถึง 49 ประตู ตามมาด้วยการคว้าแชมป์บอลถ้วยรายการเอฟเอคัพ จากการเฉือนเอาชนะ “กิเลนผยอง” เมืองทอง ยูไนเต็ด ไปได้ 1-0 จากประตูชัยของ แฟรงค์ อาเชียมปง มิดฟิลด์ตัวเก่งของทีมในเวลานั้น ก่อนสุดท้ายจะมาปิดฤดูกาลในการแข่งขันฟุตบอลรายการโตโยต้า ลีกคัพ ซึ่งบุรีรัมย์ยังคงโชว์ฟอร์มไร้เทียมทานหลังเอาชนะ “สิงห์เจ้าท่า” การท่าเรือ เอฟซี ไปได้ 2-0 เรียกได้ว่าเป็นการประกาศให้หลาย ๆ ทีมโดยเฉพาะเมืองทอง ยูไนเต็ด ที่เป็นคู่แข่งสำคัญ ว่าต่อจากนี้พวกเขาพร้อมแล้วที่จะกระชากแชมป์ในทุก ๆ ปีมาไว้ที่บ้านของพวกเขา

นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 เป็นต้นมาถ้วยแชมป์ที่ปราสาทสายฟ้ากวาดมาได้ มีตั้งแต่การคว้าแชมป์ลีกไปทั้งสิ้น 6 สมัย เอฟเอคัพ 4 สมัย และ ถ้วยลีกคัพอีก 5 สมัย กลายเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ของวงการลูกหนังไทยโดยความสำเร็จเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากชายที่ชื่อ “เนวิน ชิดชอบ” ประธานสโมสรที่ลงทุนลงแรงไปกับสโมสรอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นการดึงนักเตะชื่อดังมากมายทั้งไทยและต่างชาติ อาทิเช่น ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต, อันเดรส ตูเญซ, สุเชาว์ นุชนุ่ม,จักรพันธ์ แก้ว พรม รวมถึงการพัฒนาในส่วนของทีมนักเตะเยาวชนให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

 ก้าวสู่ความยิ่งใหญ่แห่งทวีปเอเชีย

สิ่งหนึ่งที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยังขาดอยู่นั้นคือการคว้าแชมป์ในระดับทวีป ซึ่งพวกเขาเคยทำไว้ดีที่สุดคือเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งการที่พวกเขาพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้งในตลอดหลายปีจะทำให้พวกเขาก้าวออกจากประเทศไปสู่การเป็นแชมป์ระดับเอเชียได้ในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัยแม้จะต้องเจอกระดูกชิ้นโตหลายต่อหลายทีมขวางทางพวกเขาไว้ก็ตามที

สำหรับวงการฟุตบอลลีกของประเทศไทยเราในตอนนี้ ต้องบอกว่ามีการพัฒนาไปอย่างมากในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นตัวของผู้จัดการแข่งขัน กองเชียร์ และตัวของสโมสรเอง แต่ระดับการแข่งขันในช่วงหลายขวบปีที่ผ่านมานั้นช่างมีทีมที่สามารถพัฒนามาสู่การเป็นแชมป์ได้เพียงไม่กี่ทีมเท่านั้น เช่น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ดและเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ถึงแม้การแข่งขันจะมีมาตรฐานที่สูงขึ้นเพียงใด แต่สุดท้ายแล้วก็มักจะลงเอยด้วยชื่อของ 2 ทีมนี้อยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะทั้งฟุตบอลบอลลีกหรือฟุตบอลถ้วย แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ได้ปรากฏชื่อของทีมฟุตบอลทีมหนึ่งจากแดนล้านนาที่ขึ้นมาเขย่าบัลลังก์วงการลูกหนังเมืองไทย ให้ได้รู้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้งทีมทีมนั้นมีชื่อว่า “สิงห์เชียงราย ยูไนเต็ด”

กว่างโซ้งไม่กลัวใคร

หากจะก้าวขึ้นมาเป็นทีมชั้นนำของประเทศให้ได้แล้ว การที่จะต้องเผชิญหน้ากับทุกทีมแล้วฝ่าฟันไปให้ได้คงไม่ใช่เรื่องแปลก หลังทีมสิงห์เชียงราย ยูไนเต็ด หรือเจ้าของฉายา “กว่างโซ้ง” สามารถพัฒนยกระดับทีมให้ก้าวมาอยู่ในแถวหน้าของวงการฟุตบอลไทย อย่างที่ได้เห็นเมื่อฤดูกาล 2018 ที่พวกเขาสามารถคว้าแชมป์บอลถ้วยในประเทศได้ครบหมดอย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะทั้งศึกฟุตบอลรายการไทยแลนด์แชมเปี้ยนส์คัพ โตโยต้า ลีกคัพ และฟุตบอลรายการเอฟเอ คัพ ที่เป็นแชมป์ติดต่อกันถึงสองสมัย ในปี 2017-2018 หักปากการเซียนทุกชนิด เพราะขวบปีหลังสุดบอลถ้วยที่พวกเขาเข้าชิงต่างเจอยักษ์ใหญ่ของวงการลูกหนังไทยทั้ง บีจี ปทุมธานี ยูไนเต็ด แบงค์ค็อก ยูไนเต็ด รวมถึงทีมระดับท็อปของประเทศไทยนั่นคือ “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่หากใครพูดถึงก็คงจะอดคิดไม่ได้ว่าทีมจากแดนล้านนาทีมนี้จะสามารถต่อกรกับทีมที่ว่ามาเหล่านี้ได้อย่างไร แต่ต้องบอกเลยว่าสิงห์เชียงราย ยูไนเต็ด มีการวางรากฐานทีมที่ดีมากในการพัฒนาทำทีม โดยเคยมีอดีตประธานอย่าง “บิ๊กฮั่น” มิตติ ติยะไพรัช เป็นประธานสโมสรที่อยู่กับทีมมาอย่างยาวนาน มีส่วนช่วยให้ทีมทีมนี้ที่อดีตเป็นเพียงทีมจังหวัดสามารถพัมนามาได้ถึงเพียงนี้

แต่ปัจจุบันในฤดูกาล2019 “บิ๊กฮั่น” มิติ ติยะไพรัช ได้ส่งไม้ต่อในตำแหน่งประธานสโมสรให้แก่ “มาดามฮาย” ปวิศรัฐฐ์ ติยะไพรัช เป็นผู้ทำทีมต่อ ซึ่งความรักที่มีต่อทีมของทั้งสองไม่แตกต่างกันเลย เห็นได้จากการที่แฟนบอลทีมนั้นต่างให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ซึ่งเหล่านักเตะก็ยังเป็นแกนหลักหน้าเดิม ๆ ที่กวาดแชมป์บอลถ้วยมาได้ 2 ปี ติดต่อกัน อาทิเช่น บิล โรซิม่า, ชินภัทร ลีเอาะ, ศิวกรณ์ เตียตระกูล, พิธิวัตร สุขจิตร ธรรมกุล, ธนะศักดิ์ ศรีใส ซึ่งผุ้เล่นชุดนี้แทบจะพัฒนามาด้วยกันอย่างต่อเนื่องจึงไม่แปลกที่จะรู้ใจกันเป็นอย่างดี

มุ่งสู่แชมป์ไทยลีก

ในฤดูกาล 2019 ที่กำลังขับเขี้ยวกันอยู่นี้ต้องบอกว่าสุสีเป้นอย่างมากระหว่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กับ สิงห์เชียงราย ยุไนเต็ด สุดท้ายต้องมาลุ้นกันว่าทีมจากแดนล้านนาทีมนี้จะสร้างประวัติศาสตร์ของสโมสรได้อีกครั้งหรือใหม่ซึ่งดูแล้วโอกาสยังช่างสดใสเหลือเกิน สำหรับนักพนันแล้วกรณีแบบนี้หลายคนอาจจะต้องกุมขมับ เพราะหากเดิมพันการได้แชมป์เอาไว้ อาจจะไม่ใช่ทีมหน้าเดิม ๆ เหมือนที่หยอดเงินไว้ตอนต้นฤดูกาลแล้ว ทว่าระหว่างการแข่งขันแต่ละทีม หากอยู่ข้างทีมเหล่านี้โอกาสที่จะเก็บแต้ม ตอดเงินมาได้ก็มีมากขึ้นเหมือนกัน